Friday, November 03, 2006

"actions speak louder than words"

ตอนนี้ผมมาเรียนที่เมือง Falmouth ประเทศอังกฤษ
ผมทำงานพิเศษ เป็นเด็กเสิร์ฟ
ผมตั้งใจทำงาน ช่วยงานทุกอย่างเท่าที่จะช่วยได้
ไม่ใช่แค่เสิร์ฟอาหาร ผมยังช่วย เตรียมอาหารจำพวก starter, เตรียมภาชนะ, เช็ดจาน, เช็ดช้อน ฯลฯ ตามแต่จะช่วยได้ และเขาต้องการให้ช่วย
ผมอยู่เกินเวลาที่ทางร้านจ้างผมเสมอ อยู่ช่วยทำโน่นทำนี่ต่อ (เพราะร้านปิดห้าทุ่ม แต่ลูกค้ามักจะนั่งอยู่เกินห้าทุ่มเสมอๆ) ทั้งๆ ที่ พี่เจ้าของร้านเขาก็บอกว่า พอได้แล้ว กลับได้แล้ว
แต่แหม... พี่ๆ เขาใจดีกับผมเหลือเกิน ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ทำไมผมจะทำไม่ได้ ทำให้ฟรีด้วย ไม่ได้เงินค่าล่วงเวลา
อีกอย่าง มันก็รู้สึกว่า นี่งานของเรา อีกนิดเดียวเอง ทำๆ ไปเถอะให้เสร็จ
เขาดีกับเรา เราก็ตั้งใจทำงานและช่วยแบ่งเบาภาระเขาเป็นการตอบแทน(เท่าที่พอจะทำได้ตอนนี้)
(ต่างกันกับฝรั่ง ...มีอยู่คนหนึ่งที่ทำงานที่นี่เหมือนกัน พอถึงเวลาปุ๊บ เก็บของกลับบ้านปั๊บ และตอนเวลาที่ทำงาน ก็ไม่ช่วยทำอะไรเลย นอกจากนำอาหารไปเสิร์ฟอย่างเดียว
ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาก็ถือว่า เขาถูกจ้างมาเป็นเด็กเสิร์ฟ เขาก็แค่เสิร์ฟ เขาถือว่าเขาถูกจ้างแค่่ช่วงเวลานั้นๆ เขาก็ทำแค่นั้น
วัฒนธรรมที่ต่างกันคงเป็นสาเหตุ ...แต่ผมชอบแบบไทยๆ มากกว่า อย่าว่ากันนะ)
บางวันผมไม่ได้ทำงาน แต่พี่ๆ เขาชวนไปหา ไปคุย ไปกินข้าวกัน
ผมไปหา ก็ไปช่วยเสิร์ฟ ช่วยโน่น ช่วยนี่ เล็กๆ น้อย
เขามีน้ำใจมา เราก็มีน้ำใจตอบ

วันนี้ หลังจากลูกค้าโต๊ะสุดท้ายกลับ
พี่เจ้าของร้านหยิบเงินออกมาให้ผมเหมือนปกติ (ผมได้รับค่าจ้างเป็นเงินสด ทุกวันที่ไปทำงาน)
ที่ต่างไปคือว่า พี่เขาบอกว่า เขาขึ้นค่าจ้างให้ผม เป็นชั่วโมงละหกปอนด์ (จากเดิม ห้าปอนด์)

ผมดีใจ

ไม่ใช่แค่การได้เงินเพิ่ม เพราะที่ได้อยู่เดิม ผมก็พอใจอยู่แล้ว ไม่ได้เคยคิดว่าจะขอ ฤว่าอยากได้เพิ่ม
ทั้งๆ ที่ผมเองก็รู้ว่า เพื่อนฝรั่งอีกคนที่ทำอยู่ เขาได้ค่าจ้างมากกว่าผม
ก็ในเมื่อผมพอใจกับค่าแรงที่ผมได้แล้ว ผมจะต้องไปสนใจ เดือดเนื้อร้อนใจที่ผมได้น้อยกว่าเพื่อนร่วมงานทำไม... จริงไหม?
ไม่ได้สร้างภาพ... แต่เมื่อผมพอใจในส่่วนของผมเองแล้ว ผมจะไปริษยาเพื่อนร่วมงานให้ตัวเองเป็นทุกข์ทำไม... จริงไหม?

ที่ดีใจไปกว่านั้น ก็เป็นเพราะว่า
ความตั้งใจในการทำงาน ความรู้สึกของผมที่คิดอยู่เสมอว่า อยากทำงานตอบแทนน้ำใจที่เขาให้มาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทุกอย่างเหล่านี้ มันน่าจะส่งผ่านไปจนถึงพวกพี่ๆ เขาแล้ว
โดยไม่ต้องปริปากพูด ว่าผมทำโน่นทำนี่เยอะแยะ ว่าผมทำเกินเวลาเสมอๆ
...ผมให้การกระทำพูดแทน...

...
...
...

ผมนึกถึงเพลงหนึ่งของ Nirvana หนึ่งในวงโปรดของผม
ท่อนหนึ่งในเพลง plateau จากอัลบั้ม unplugged in new york เนื้อร้องมีอยู่ว่า
"who needs action when you got words."
ซึ่ง(ผมคิดเองเออเองว่า) ผู้แต่ง คงต้องการจะประชดประชัด แดกดัน
และในโลกปัจจุบัน น่าเศร้าที่หลายๆ ครั้ง มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
แต่วันนี้ ผมได้พิสูจน์ความเชื่อบางอย่างของตัวเอง ว่ามันยังเป็นจริง และใช้ได้อยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย

...การกระทำ สำคัญกว่าคำพูด...

1 comment:

Anonymous said...

interesting!! we write about the same issue on the same day wa..

seriously..