Friday, March 23, 2007

หนุ่มสาว หมา และ คนตาบอด ... ภาคผนวก

เกิดอาการอยากขยายความจากบทความเรื่อง "หนุ่มสาว หมา และ คนตาบอด" ที่เคยเขียนให้อ่านกันไป

...
...
...

เริ่มต้นจากที่มา...
ผมเริ่มต้นเขียน "หนุ่มสาว หมา และ คนตาบอด" โดยมีที่มาจากการที่ได้ไปอ่านบลอกของหญิงสาวผู้หนึ่ง
ในนั้น เป็นเหมือนบันทึกความรู้สึกแย่ๆ ของเธอที่มีต่อชายหนุ่มที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอ
ด้วยความเป็นคนตรง เธอก่นด่าอย่างค่อนข้างเกรี้ยวกราด ถึงความเลวของผู้ชายบางคนที่เธอได้ประสบพบเจอ
ผมจึงเกิดอารมณ์อยากเขียน "หนุ่มสาว หมา และ คนตาบอด" ขึ้นมา

ที่จริง ผมไม่ได้จะกล่าวโทษผู็หญิงฤว่าผู้ชายแต่เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
เรื่องราวความสัมพันธ์ของแต่ละคู่รัก ย่อมแตกต่างกันไป
ผมเพียงอยากสะกิดเตือนหลายใคร ที่อาจหลงลืมไปว่า ตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง
ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น จะดีจะร้าย เราต่างร่วมสร้างกันมาทั้งนั้น
หากเรายังคงเจ็บปวด นอกจากมองหาสาเหตุจากฝ่ายตรงข้ามแล้ว มันคงจะดีหากเราก้มลงมองดูตัวเองด้วย
บางครั้งมันง่ายที่จะสำรวจแต่จุดบกพร่องของฝ่ายตรงข้าม แต่ผมมั่นใจว่าปัญหาหรือความทุกข์จะถูกแก้ไขได้อย่างมีประสิทธภาพมากกว่า หากเรามองให้ทั่วๆ
ทั่วทั้งฝ่ายตรงข้าม และตัวเราเอง

นั่นคือประเด็นหลักที่ผมอยากสื่อสารออกไป
ตอนนี้ขอใช้เวลาไขข้อข้องใจสำหรับบางใครที่มา comment ไว้ใน post ดังกล่าว
อาจดูไม่มีชั้นเชิงนัก แต่ก็อยากจะชี้แจงแถลงไขให้มันกระจ่างขึ้นอีกสักนิด

๑.
ใช่ สมองและใจทำงานคนละส่วน
แต่กับความรัก บางครั้งมันก็เกาะเกี่ยวกันอยู่อย่างแยกแทบจะไม่ออก
ผมยังคงเชื่อว่า... รัก ต้องรักด้วยใจ คบ ต้องคบด้วยสมอง
หากคุณรู้ว่าคนที่คุณรัก มีแต่จะทำร้ายจิตใจ มันน่าจะถึงเวลาที่สติเข้ามามีส่วนร่่วม
ผมไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อ เพียงแต่อยากเสนอความเห็น
ไฟมันร้อน เราเลือกได้ว่าจะยืนอยู่ใกล้ไฟร้อน ฤถอยห่างออกมา
ถ้าเราเลือกที่จะยืนอยู่ใกล้ๆ ทุกครั้งที่ไฟมันแผดเผา พอเราด่าไฟ ว่าทำไมมันร้อนแบบนี้ ก็อย่าลืมนึกถึงด้วยว่า เออ เราเองที่เลือกยืนอยู่ข้างไฟ

ถ้าไม่อย่างนั้น หากอยากจะรักด้วยใจล้วนๆ จริงๆ
ก็อย่าลืมเผื่อใจไว้ให้กับความเจ็บช้ำด้วย
บ่นได้ ระบายได้
...แต่มันคงป่วยการหากจะถามว่า ทำไมต้องเจอแบบนี้ เมื่อไรจะสิ้นสุดเสียที

อันที่จริง อยากจะขอเลยเถิดไปอีกสักนิด

ทุกวันนี้ผมมีวิธีการมองปัญหาแยกเป็นตัวแปรที่ควบคุมได้ กับที่ควบคุมไม่ได้
ปัญหาส่วนใหญ่ ดีที่สุดที่เราจะทำได้ แก้ไขได้ คือตัวแปรที่เราควบคุมได้
กับเรื่องดังกล่าว หากความรักความสัมพันธ์มันย่ำแย่ เพราะผู้ชายเลวๆ
ผมคิดว่ามันยากกว่าที่เราจะไปควบคุมผู้ชายให้มันไม่เลวได้
พูดอีกนัยหนึ่งได้ว่า ผมคิดว่ามันง่ายกว่าที่เราจะควบคุมตัวเองไม่ให้"ยอม"ให้เขามาทำร้ายด้วยเรื่องเดิมๆ

๒.
ผมไม่ได้มาฟูมฟาย ร้องแลกแหกกระเฌอ ตัดพ้อถึงความไม่ยุติธรรมของโลกเบี้ยวๆ ใบนี้
ไม่อีกต่อไป
ผมอาจเคยมีความรู้สึกแบบนั้นอยู่บ้าง สมัยหนุ่มๆ ... ก็นานแล้วล่ะ
แต่ผมไม่มีความรู้สึกอย่างนี้นานแล้ว
ผมเข้าใจว่ามันอยู่ที่จิตใจ ... ใจใครก็ใจมัน ชอบแบบไหนก็แล้วแต่ใจใคร
และด้วยความผยอง เมื่อผมมั่นใจว่าผมมีดี(ถึงจะน้อยก็ตามที) ใครไม่สนใจ ผมก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน

:P

:)

...
...
...

ยังมีบางเรื่องที่อยากพูด (หลังจากได้อ่านคอมเมนท์ของหลายๆ คน จากโพสท์นั้น)
แต่เดี๋ยวเก็บไว้เป็นโพสท์นึงไปเลยดีกว่า (แต่อาจจะสั้นหน่อย)

Wednesday, March 14, 2007

บันทึกส่วนตัว ตอน: ฝันกลางคืน

เมื่อคืน...
นั่งทำงานกับไอ้พอลได้แป๊บเดียว แทบไม่ได้อะไรเลย non-productive สุดๆ ก็ออกไปดื่มที่ q bar กับเพื่อนๆ ใน class อีก 6-7 คน
จากนั้นก็ไหลไป remedies กับจอร์แดนและพอล
พร้อมด้วยทีน่า(ลูกครึ่งนอร์เวย์-เกาหลีใต้ ผู้น่ารัก และไปเยือนบางกอกมาแล้วถึงห้าครั้ง) และเพื่อนเธออีกสองคน
สนุกดี ดีเจเปิดเพลงมันมาก... เต้นกันหกคน หญิงสามชายสาม

โดนสาวขโมยจูบแก้มไปหลายที... เขิน

แรกๆ ก็แค่มากอดระหว่างเต้นๆ กันอยู่
โอเค อยู่ต่างถิ่นมาสักพักแล้ว ก็พอเข้าใจว่า ฝรั่งมันกอดกันเป็นปกติ อีกอย่างเธอกอดเราคนเดียวซะที่ไหน
แต่เรื่องมันเริ่มจากตอนหยุดเต้น พักดื่ม guinness (now brewed in dublin - ha) เธอก้มมาจูบแก้ว guinness เรา
โอเค ขำๆ รู้แล้วว่าเธอเมารั่ว ก็เลยเงยหน้ามายิ้มๆ ขำๆ ไปกับเธอ
แล้วเธอก็หันมาขยี้หัวเราเล่น ยิ้มและหัวเราะ (ตัดผมครั้งสุดท้าย ค่ำก่อนวันเดินทาง ถึงวันนี้ผมเราก็เริ่มยาวแล้ว)
โอเค ขำๆ รู้แล้วว่าเธอเมารั่ว ก็เลยเงยหน้ามายิ้มๆ ขำๆ ไปกับเธอ
ไม่กี่วินาทีถัดมา เธอรวบหัวเราไปกอด แล้วขโมยจูบแก้ม
โอเค ขำๆ รู้แล้วว่าเธอเมารั่ว ก็เลยเงยหน้ามายิ้มๆ ขำๆ ไปกับเธอ
จากนั้นก็มาเต้นกันต่อ เธอก็มาเต้นด้วยบ่อยๆ
และเธอยังคงมากอด
และเธอยังคงมาเล่นหัว
และเรายังคงโดนขโมยจูบแก้ม
และเรายังคงเขิน
เหมือนเธอยิ่งชอบ หันมายิ้ม หัวเราะ และสถานการณ์ยังคงซ้ำรอยเดิม

เรื่องของเรื่องคือเธอดันน่ารักนี่สิ ทำเอาเราฝันกลางวัน ...ไม่สิ มันดึกแล้วนี่ ...ฝันกลางคืน
ฝันมันทั้งๆ ที่หน้าตาก็จำไม่ค่อยจะได้แล้วนี่แหละ (เวลาเขินก็เป็นอย่างนี้ทุกที)
ชื่อก็ไม่รู้ ตอนที่เธอบอก เสียงเพลงมันดังเสียจนเราจับคำพูดไม่ได้

ที่เซ็งคือ แว่วๆ มาว่าเธอไม่อยู่แล้ว กลับบ้านไปเรียบร้อยโรงเรียนนอร์เวย์
แหม่ ไอ้ฝันที่มันดีๆ เราก็อยากฝันต่ออีกสักหน่อย
เสียดาย
แต่มันก็เป็นประสบการณ์แปลกๆ อีกคืน

มันก็แค่...ฝันกลางคืน