Saturday, July 23, 2005

น้ำเอยน้ำใจ

วันก่อน...
ลงรถเมล์...เดินข้ามสะพานลอยมาที่ปากซอย2 (บ้านผมเข้าได้สองทาง ซอย1 และซอย2)
วินมอเตอร์ไซค์ที่ปกติจะอยู่ถึงสี่ทุ่ม ปิดไฟมืด...ในความหมายว่า วันนี้ปิดแล้ว
มองนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถือ เอ...มันเพิ่งสามทุ่มเอง ทำไมเลิกเร็ว?
คิด คิด คิด เอาไงดี
จะเดินไปที่ปากซอย1 ก็ขี้เกียจ วันนี้เอาคอมพิวเตอร์พกพากลับมาด้วย หนักชะมัด
ยืนรอไปเรื่อยๆ คิด คิด คิด เอาไงดี
พี่สาวก็ยังไม่กลับบ้าน จะเรียกมารับก็ไม่ได้
รอไปเรื่อยๆ อีก กะว่า เดี๋ยวคงมีคันว่างๆ ผ่านมาบ้าง...แต่ก็ไม่
คันที่มีผู้โดยสารขับผ่านๆ ไป ก็ไม่ย้อนกลับมารับแฮะ (ตอนขับผ่าน ก็เห็นมองๆ อยู่นี่นา)
ลองเสี่ยงดูละกัน คันต่อไปที่ผ่านมา ลองเรียกดู โบกเรียกเหมือนกับว่าไม่มีผู้โดยสารนั่นแหละ แล้วก็รอให้กลับมารับ
รออยู่นานก็ยังไม่มา
จนเกือบจะเดินไปแล้ว ไม่รอแล้ว
ปรากฏว่า มอเตอร์ไซค์คันนั้นวนกลับมารับแฮะ
พี่คนขับเป็นผู้หญิง (เดี๋ยวนี้ผู้หญิงมาขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างกันเยอะแฮะ) บอกว่า เกือบจะไม่กลับมาแล้ว
พอดีคิดๆ ว่า เวลาเมื่อก่อน ก็เคยยืนรอแล้วไม่มีรถ เข้าใจความรู้สึก เห็นว่ารอ แล้วก็เรียกไว้ เห็นว่ายืนรอ ก็สงสาร เลยกลับมารับ
...ขอบคุณครับ...


เมื่อวาน...
เดินไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าอร่อย แถวบ้าน
กินไปสักพัก มีเด็กผู้ชายตัวอ้วน(มาก) เสื้อผ้ามอมแมม ขับซาเล้งมาจอด แล้วก็ลงมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวข้างๆ
ผมกินเสร็จลุกจะไปจ่ายเงิน (21 บาท)
ล้วงกระเป๋าเอาแบงค์ 20 ขึ้นมา...เอ๊ะ เมื่อกี้มันมีเหรียญ 5 บาท ที่ได้ทอนมาตอนซื้อหนังสือพิมพ์นี่นา หายไปไหนวะ?
กำลังล้วงๆ หาอยู่ ได้ยินเสียงเรียก "พี่ครับๆ"
หันกลับไป น้องผู้ชายตัวอ้วนเสื้อผ้ามอมแมมที่นั่งข้างๆ ยื่นมือมาให้ ในมือมีเหรียญหาบาทที่ผมคงทำตกไว้ตอนจะลุกจากโต๊ะ
ผมยื่นมือไปรับเหรียญนั้น บอกขอบคุณน้องชายคนนั้นสองรอบ
จ่ายเงินเสร็จ ก่อนออกจากร้าน ผมเดินไปที่โต๊ะอีกที "ขอบคุณนะครับ" ... ไม่รู้จะขอบคุณกี่ครั้งดี ให้น้องได้รู้ว่า ผมชื่นชมในน้ำใจของน้องจริงๆ
เงิน 5 บาท สำหรับผมกับน้องคนนั้น คุณค่าที่มองเห็น มันต่างกันแน่ๆ ...แต่น้องชายคนนั้นก็เลือกที่จะคืนให้ผม ไม่เก็บเอาไว้เอง
...ขอบคุณครับ...


น้ำเอยน้ำใจ... อยากให้เมืองไทย อุดมไปด้วยน้ำใจอย่างนี้ตลอดไป

Wednesday, July 13, 2005

จากเพลงชาติ ถึงรากเหง้า

เมื่อวานและวันนี้
ตื่นเช้า ไปทำงานตามปกติ
...
...
"เวลา แปดนาฬิกา"
ประโยคนี้ ดังขึ้นขณะผมสอดบัตรโดยสารรถไฟฟ้าเข้าเครื่อง
แล้วเพลงชาติก็ดังขึ้น
ทุกคน(จริงๆ ก็ไม่ทุกคน แต่ 90% ล่ะนะ) ก็หยุดยืนตรงเคารพธงชาติ
...
...
แปลกตาดี
แปดโมง ช่วงเวลาเร่งด่วน
ภาพที่ชินตาคือ ผู้คนเร่งรีบ บ้างแก่งแย่ง บ้างมีน้ำใจ (เหรียญมีสองด้านเสมอ) ทุกอย่างดูวุ่นวาย
วันนี้ ภาพที่เห็น ถึงแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึง 2 นาที แต่มันต่างไปจากที่เคยชินตา

พูดไม่ถูกแฮะ
แต่รู้สึกดีอยู่ลึกๆ แอบอมยิ้มคนเดียว ไม่รู้จะมีใครเห็นและหาว่าบ้าฤเปล่า

ไม่รู้สิครับ ผมดีใจ ที่เรายังมีโอกาสได้ฟังเพลงชาติ ได้ยืนตรงเคารพธงชาติ วันละสองหน
และดีใจที่คนส่วนใหญ่ยังคงปฏิบัติเหมือนๆ กับที่ได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ
ไม่ว่าจะทำเพราะอาย ถ้าจะเป็นคนเดียว(หรือหนึ่งในไม่กี่คน)ที่ไม่หยุดยืนตรง
หรือจะทำเพราะเป็นความเคยชิน ผสมกับที่เห็นชาวบ้านเค้าทำกัน ก็เลยทำตาม
แต่ผมก็ยังดีใจที่มันยังถูกปลูกฝังอยู่ในตัวของคนส่วนใหญ่
...
...
นึกถึงเรื่องนึง ที่อ่านจากบทสัมภาษณ์ฝรั่งคนนึงที่มาแต่งงานกับคนไทย และอาศัยอยู่ในเมืองไทย จากหนังสือ OPEN
ฝรั่งคนนี้เค้าให้ลูกเรียนโรงเรียนโรงเรียนรัฐในละแวกใกล้บ้าน(ถ้าจำไม่ผิดไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงครับ)
แทนที่จะส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติอย่างที่เป็นที่นิยมกันในสมัยนี้(สำหรับผู้มีอัน(เหลือ)จะกิน...ไม่ได้ต่อต้านนะครับ ผมเองยังเคยคิดว่า ถ้ามีฐานะพอ ก็น่าสนใจอยู่...)
ฝรั่งคนเดิมนี้ ให้เหตุผลว่า (อาจไม่ตรงเป๊ะๆ แต่ไม่ใกลกันนักแน่ๆ)
"ผมเชื่อว่า คนเราควรเกิดมาและเติบโตมากับราเหง้าทางวัฒนธรรมเพียงหนึ่งเดียว"
ดังนั้นเค้าจึงไม่ส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติ ด้วยความรู้สึกที่ว่าความปนเปทางวัฒนธรรม จะทำให้"ฐาน"ไม่แน่น
...(รายละเอียดต่อๆ มา ผมจำไม่ค่อยได้แล้วครับ)

ผมเองเห็นด้วยกับความคิดนั้น...และชอบความคิดนั้นอยู่พอควร

วันนั้น หลังจากเห็นภาพที่ไม่ชินตา ผมนึกถึงเรื่องราวและคำพูดของฝรั่งคนนี้ขึ้นมา
จริงๆ มันไม่ได้เกี่ยวกันนัก ... แต่หัวผมเป็นแบบนี้ล่ะครับ มักจะกระโดดข้ามจากความคิดนึง ไปสู่ความคิดนึงที่อาจจะไม่ได้เกี่ยวกันอย่างแน่นหนาเท่าไร

พรุ่งนี้ถ้าได้ยินเพลงชาติ อย่าลืมยืนตรงเคารพธงชาติกันนะครับ

Saturday, July 02, 2005

please forgive me.....i can't stop loving you

...และแล้วรักที่มีก็จบลง มันก็คงเหมือนเก่า...

อยู่ๆ ก็นึกถึงท่อนนี้ของเพลงนึงขึ้นมา... กับเก้าปีที่ผ่านไป

...ไม่เหลืออะไรเลย แหลกสลายลงไปกับตา เหลือเพียงใจที่ว่างเปล่า กับฉันคนเดียวเท่านั้น...

อีกเพลง...

...
...
...

ผ่านไปเก้าปี ก็ยังคงเหมือนเดิม ร้องไห้ไม่ต่างจากครั้งแรกๆ
เมื่อไรหนอ น้ำตาจะหยุดไหล

ทำไม ทำไม ทำไม

...
...
...

30 มิ.ย. 2548 ค่ำๆ ดึกๆ เสียงโทรศัพท์ที่ดังขี้นกระชากความสนใจไปพร้อมๆ กับที่ชื่อของใครคนนั้นที่รักที่สุดแสดงอยู่บนหน้าจอ
ความดีใจครอบคลุมไปทั่ว โดยไม่รู้หรอกว่า มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของน้ำตา

กับคำที่ใครคนนั้นทางปลายสายบอกมา ที่จริง มันก็เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้ว(อาจมีหลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง ก็มาจากความตั้งใจส่วนหนึ่ง)
เรื่องๆ เก่าๆ ซ้ำๆ เดิมๆ ...
แต่ทำไม ใครคนนี้ก็ยังไม่สามารถจะสะกดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกไว้ได้
ยังคงร้องไห้เหมือนเช่นเคย ...ฤอาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำ

ทำไม ทำไม ทำไม

...
...
...

ความรักที่ให้ไป มันจะมีค่าในสายตาเธอบ้างไหม?
เขาที่เธอรัก จะรักเธอไม่น้อยกว่าที่ฉันรักเธอไหม?
ความรู้สึกดีๆ ที่มากกว่าเพื่อน และอาจพัฒนาไป เธอเคยมีให้ฉันบ้างไหม?
ทำไม ทำไม ทำไม
...
...
...

สมองเหมือนจะวิ่งวุ่นอยู่ตลอด ในขณะที่รู้สึกว่างเปล่าไปด้วยในที

ฉันจะอยู่ต่อไปด้วยความรู้สึกแบบไหน?
ฉันจะรักใครได้มากมายเท่านี้อีกไหม?
ฉันจะมีความสุขเต็มที่ได้อีกไหม?
ทำไม ทำไม ทำไม

...
...
...

คำถามที่ไม่สิ้นสุด
เหมือนๆ กันกับความรักที่ไม่สิ้นสุด


..."ในความเป็นเพื่อน เรายังมีความรักให้เธอเสมอ"...