Sunday, January 21, 2007

หนุ่มสาว หมา และ คนตาบอด

๑.
ผมเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ กับความคิดที่มันล้นออกมาจากสมองของผู้หญิงหลายๆ คน
"ผู้ชายมันเลวยิ่งกว่าหมา" "ผู้ชายเป็นเพศที่เห็นแก่ตัว" "หาดีไม่ได้หรอก ผู้ชายน่ะ" ฯลฯ สารพัดประโยคที่จะได้ยิน
ในฐานะที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ผมกลับไม่โกรธ ที่ถูกด่าอย่างเหมารวม
บางครั้งผมก็พอจะเข้าใจได้ในอารมณ์โกรธ
บางครั้งผมก็พอจะจินตนาการได้ในเรื่องร้ายๆ ที่เธออาจประสบพบเจอมา
บางครั้งผมก็พอจะยอมรับได้ในส่ิงที่เธอทั้งหลายพูดมา


๒.
ผมเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ กับความคิดที่มันล้นออกมาจากสมองของผู้ชายหลายๆ คน
"เป็นคนดีแล้วมันไม่มีใครหรอกโว้ย" "ผู้หญิงชอบผู้ชายเหี้ยๆ ว่ะ" "ผู้ชายดีๆ มันน่าเบื่อเว้ย ไม่เร้าใจ" ฯลฯ สารพัดประโยคที่จะได้ยิน
ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ผมเองก็สงสัย กับคำพูดเหล่านั้น และหลายสิ่งที่เห็นที่เป็นไป
บางครั้งผมก็พอจะเข้าใจได้ในอารมณ์รักใคร่
บางครั้งผมก็พอจะจินตนาการได้ในเรื่องราวของการปักใจรักและยอมเขาหมดทุกอย่าง
บางครั้งผมก็พอจะยอมรับได้ในความบิดเบี้ยวที่ว่าผู้ชายเลวๆ กลับได้รับความรักจากหญิงสาว


๓.
ไม่ว่ารากเหง้าแห่งความเลวของผู้ชายบางกลุ่มจะมีที่มาจากไหน
ส่วนหนึ่ง มันไม่ใช่เพราะผู้หญิงหรอกหรือ ที่ spoil ผู้ชายเหล่านั้นจนได้ใจ
เขาเลว เขาทำร้าย กลับแกล้งทำลืม ไม่ติดใจในความเลวร้ายของเขา ยังคงรักและบูชาเขาสุดหัวใจ
พร้อมด้วยข้ออ้างที่ว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่ใจอ่อน และสามารถให้อภัยได้ หากคนนั้นเป็นผู้ชายที่เขารัก

"บ้าระยำ" ...ผมสบถ


๔.
การให้อภัย สมควรถูกนำมาใช้ เมื่ออีกฝ่ายสำนึกตนเองว่าผิดจริงๆ
สำนึกว่าสิ่งที่ตัวเองได้ทำไป มันทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายมากแค่ไหน
สำเหนียกว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี และไม่คิดที่จะทำอีก
การให้อภัย ไม่สมควรที่จะกระทำได้ง่ายๆ หรือพร่ำเพรื่อ เพียงแค่อีกฝ่ายมาออดอ้อนด้วยถ้อยคำหวาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสิ่งแย่ๆ เหล่านั้นได้ถูกกระทำซ้ำอย่างต่อเนีื่อง และเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้สำนึกอะไรในความผิดเหล่านั้น
ได้โปรด อย่าเรียกมันว่าการให้อภัย เพื่อที่จะทำให้ตัวเองเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ น่าสงสาร และน่าเห็นใจ


๕.
อาจเป็นด้วยวัย
เมื่อยังรุ่นๆ คงไม่มีใครอยากใช้ชีวิตเรียบๆ น่าเบื่อๆ ใครๆ ก็อยากสนุก อยากตื่นเต้น อยากเร้าใจ อยากผจญภัยด้วยกันทั้งนั้น
นั่นทำให้ผมพอจะเข้าใจได้ว่า ทำไมผู้ชายดีๆ หลายๆ คนที่ผมรู้จัก ถึงกลายเป็นสิ่งน่าเบื่อ ไม่เร้าใจ สำหรับผู้หญิงหลายๆ คน
และทำไมผู้ชายเลวๆ บางจำพวก ถึงได้รับความสนใจจากผู้หญิงหลายๆ คน ทั้งๆ ที่เธอก็ถูกเขาทำร้ายอย่างเจ็บปวด
แต่ในเมื่ออยากสนุก เต็มใจที่จะเข้าไปอยู่ในวงจารของความตื่นเต้นเร้าใจ
เมื่อผิดหวัง จะมาร้องแรกแหกกระเฌอเป็นเด็กๆ ไปทำไม ในเมื่อเขาไม่ได้ขู่บังคับ แต่เธอยินยอมพร้อมใจ สมัครใจที่จะเข้าไปสู่วังวนนั้นเอง

ย้อนไปหลายปีก่อน เพื่อนผมคนหนึ่ง เคยพูดด้วยอารมณ์หงุดหงิด
"ตอนเอากันก็มีความสุขด้วยกัน พอเลิกกันเสือกบอกฟันแล้วทิ้ง ห่า..."
ผมไม่ได้เห็นด้วยกับทั้งหมด แต่ผมก็พอเข้าใจได้ เพราะเพื่อนผมคนนั้นเขาก็ไม่ใช่ผู้ชายที่คิดจะหาความสุขด้วยการเอาเปรียบทางเพศจากผู้หญิง
เขาเองก็ผิดหวังไม่แพ้กัน กับความสัมพันธ์ที่ต้องจบลงไป แต่ในเมื่อมันไปด้วยกันไม่ได้ เขาเองก็ไม่มีทางเลือกมากนัก


๖.
ความรักทำให้คนตาบอด บางครั้งเหมือนจะเป็นคำพูดที่ยิ่งกว่าจริง
ไม่ใช่แค่ตา แต่ทั้งหัวใจและสมองมันพร้อมใจกันมืดบอดไปหมด
แล้วชีวิตจะดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีความสุขได้อย่างไร ในเมื่อเราปิดกั้นตัวเองจากความตระหนักรู้ในทุกอย่างแบบนี้

๗.
จะพูดไป หากผมไม่ใช่ผู้ชายที่ไร้เสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างที่เป็นอยู่
แต่กลับเกิดมาเป็นหนุ่มมากเสน่ห์ มีผู้หญิงมากมายที่สนใจ รักใคร่ ชอบพอ พร้อมที่จะแปลงร่างเป็นเจ้าหญิงตาบอดที่คอยให้ปีศาจร้ายจูงไปทางไหนก็ได้
ผมเองก็อาจโดน spoil เสียจนกลายเป็นคนที่มีความคิดแบบผู้ชายกลุ่มดังกล่าวก็ได้

...ก็ในเมื่อโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ มันเป็นแบบนี้...


๘.
ไม่ได้คิดที่จะโทษใครหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
แต่เกือบทั้งหมดของความสัมพันธ์ในโลกนี้ ผมเชื่อว่าตบมือข้างเดียวมันไม่เคยดัง
"เขาเลว" ก็เป็นส่ิงหนึ่งที่เราสมควรจะรับรู้
แต่ "เราพลาด" ล่ะ เคยคิดที่จะมองกันบ้างไหม
ในเมื่อไฟมันไหม้อยู่สองกอง แต่เรากลับมองเห็น และดับได้แค่กองเดียว แล้วชีีวิตเรามันจะหายร้อนไหม

เรารักด้วยหัวใจ แต่มันจริงไหม ที่เราสมควรจะดำเนินความสัมพันธ์แห่งรักนั้นด้วยหัวใจ... และสติ

๙.
คัดลอกมาจากเพื่อนรักคนหนึ่งอีกที

...
...
...

ลอกมาจากหนังสือ คู่มือเบื้องต้น อานาปานาสติ (ชั่วโมงแห่งความดี) ของพระอาจารย์ มิตซูโกะ คเวสโก ที่พี่ที่ผมเคารพมากคนนึงให้มา เมื่อตอนปีใหม่สองปีที่แล้ว (แต่เพิ่งจะได้อ่านเมื่อสองคืนก่อน เนื่องจากนอนไม่หลับ)

การเลือกคบกัลยาณมิตร ทำให้ไม่ติดอารมณ์

โดยปกติ จิตของเรามักจะอยู่กับเรื่องภายนอก ทั้งอดีต อนาคน สิ่งนี้ดี สิ่งนั้นไม่ดี คนนั้นดี คนนั้นไม่ดี ฯลฯ และเรามักจะปล่อยให้จิตของเราคิดไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดหย่อน

ถ้าเราประสบกับความรู้สึกที่ไม่ดี ไม่ชอบ เพราะเราได้เห็นหรือได้ยินสิ่งที่ไม่ถูกใจ เรามักจะเก็บความรู้สึกอันนั้นไว้นาน ๆ เป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน หรือเป็นปี ๆ เราจึงไม่ค่อยมีความสุขมากนักในชีวิตประจำวัน

หากเราประสบกับสิ่งที่รักที่พอใจ เรามักจะเก็บความรู้สึก และความจำนั้นไว้นาน เป็นปีเช่นกัน แต่เมื่อต้องพบว่าสิ่งนั้นไม่เที่ยง เราต้องประสบกับความพลัดพรากการเสียของรัก เราก็เป็นทุกข์อีก

ถ้าเราสามารถมีสติระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกในแต่ละขณะ หมายความว่า เราสามารถอยู่กับปัจจุบันในแต่ละขณะได้

เราจะไม่ติดอารมณ์ ไม่เก็บความรู้สึกเก่า ๆ ที่เคยสร้างความขุ่นเคือง เศร้าหมองแก่จิตใจเอาไว้ รวมทั้งไม่เก็บความจำที่เคยทำให้เรามีความสุขจนเราไม่อยากพลัดพรากจากความสุขนั้น เราจะสามารถตัดทิ้งและปล่อยความรู้สึกเหล่านั้นให้ผ่านไปได้ และในที่สุดเราก็จะสุขภาพใจดีและมีความสุขได้แน่นอน

...
...
...

Saturday, January 20, 2007

สุนทรียศาสตร์ในศิลปศาสตร์

[จากเวบหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
คอลัมน์ ตะวันตก-ตะวันออก
โดย สาโรจน์ มณีรัตน์]




...สุนทรียศาสตร์ในศิลปศาสตร์...


เป็นที่ยอมรับว่า หากผู้ใดเคยผ่านการเรียนศิลปศาสตร์มาก่อนย่อมได้เปรียบ เพราะศิลปศาสตร์ไม่เพียงเกี่ยวเนื่องกับมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์

หากยังเกี่ยวข้องและเกี่ยวเนื่องกับสุนทรียศาสตร์ด้วย

ในประเทศแถบโลกตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา มีมหาวิทยาลัยเก่าแก่หลายแห่งที่ให้นักศึกษาในระดับปริญญาตรีเรียนศิลปศาสตร์ก่อนอย่างน้อยเป็นเวลา 2 ปี

ก่อนที่จะแยกสาขาไปเรียนในสิ่งที่ตัวเองสนใจ

ฉะนั้น ตลอดระยะเวลา 2 ปี ที่เขาเรียนศิลปศาสตร์ จึงค่อนข้างครอบคลุมที่จะทำให้เขามีความเป็นมนุษย์มากขึ้น

เพราะศิลปศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำเหล่านั้น แยกย่อยให้นักศึกษาเลือกเรียนในแต่ละกลุ่มสาขา ซึ่งมีกลุ่มสาขามนุษยศาสตร์ที่เรียนเกี่ยวกับคุณภาพของความเป็นมนุษย์ อันประกอบไปด้วยสาขาวิชาภาษา วรรณคดี ปรัชญา ศาสนา ศิลปะ และดนตรี

ขณะที่กลุ่มสาขาสังคมศาสตร์จะให้ความรู้เกี่ยวกับสังคมและพฤติกรรมทางสังคมที่ประกอบไปด้วยสาขาวิชาประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา และมนุษยวิทยา

แต่สำหรับกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์จะมีสาขาวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ซึ่งมีสาขารองที่เรียนเกี่ยวกับดาราศาสตร์และธรณีวิทยารับอีกที

ดังนั้นการเรียนของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของสหรัฐอเมริกาหลายแห่งจึงค่อนข้างสอนให้นักศึกษามองเห็นลึกเข้าไปในตัวตน ว่าตนเองชอบอะไร ? ไม่ชอบอะไร ?

สนใจวิชาไหน ? และไม่สนใจวิชาไหน ?

เพราะศิลปศาสตร์ในภาษาฝรั่งคือ "Liberal Arts" ที่ไม่เพียงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับความเป็นศิลปะทุกแขนง หากยังต้องเรียนรู้เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ด้วย

ดังนั้นเมื่อเขาเหล่านั้นผ่านเบ้าหลอมทางรสนิยมศิลปะ ภาษา และวิทยาศาสตร์ ก่อนที่จะไปเรียนในสาขาที่ตนเองชอบจริงๆ เขาเหล่านั้นจึงมองเห็นความเป็นสุนทรียศาสตร์

แถมมีความรู้รอบตัวหลายแขนงด้วย !

ตรงนี้เองที่ทำให้ "ศิลปศาสตร์" หรือ "Liberal Arts" แตกต่างจาก "ศิลปศาสตร์" ในมหาวิทยาลัยของไทยในปัจจุบัน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าศิลปศาสตร์มีรากฐานมาจากภาษาละตินคือ "artes liberalis"

ซึ่งแปลว่า "pertaining to a free man" อันหมายความว่า ผู้ที่เรียนทางด้านนี้จะต้องเรียนวิชาหลัก 7 อย่างด้วยกันคือ ไวยากรณ์, ตรรกะ, เลขคณิต, เรขาคณิต, ดาราศาสตร์, ดนตรี และการพูด

ซึ่ง "สุจิตต์ วงษ์เทศ" เรียกความรู้ดังกล่าวนี้ว่า "knowledge" หรือ "องค์ความรู้" ที่จะต้องเรียนตั้งแต่ยุทธศาสตร์, คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์, ภูมิศาสตร์,เทวศาสตร์, นาฏยศาสตร์, ดุริยางคศาสตร์, โหราศาสตร์ และอื่นๆ

ทั้งนั้นเพราะศิลปศาสตร์มีความหมายเดียวกับคำว่า "สิบปะ" หรือช่างสิบหมู่ในปัจจุบันนี่เอง

ดังจะเห็นว่า ไม่ว่าโลกตะวันตก หรือโลกตะวันออก ต่อการคิดเรื่อง "ศิลปศาสตร์" นั้นมีมุมมองคล้ายๆ กัน แต่ที่แตกต่างคงเป็นรายละเอียดที่ทำให้เห็นว่าวัฒนธรรมประเพณี นั้นเป็นเส้นแบ่ง ที่ทำให้โลกทั้ง 2 ด้าน มองศิลปศาสตร์ในแง่มุมที่ต่างกัน

โลกตะวันตกอาจมองแบบรื่นรมย์ใน เงาคิด

โลกตะวันออกอาจมองความคิดบนความรื่นรมย์

แต่ทั้งนั้น ไม่ว่าโลกตะวันตก ตะวันออกจะมองอย่างไร เพราะปัจจุบันการเรียนศิลปศาสตร์ในระดับมหาวิทยาลัยของไทยกลับไม่สอนให้ผู้เรียนเกิดความคิดบนความรื่นรมย์

หรือรื่นรมย์ในเงาคิดเลย

ตรงข้ามกลับสอนให้นิสิต นักศึกษาเรียนแบบขอไปที เรียนแบบไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า หากคุณมีศิลปศาสตร์ในหัวใจ คุณจะได้ประโยชน์อันใดบ้างต่อการเรียนสาขานี้

อย่างน้อยก็เข้าใจในความเป็นมนุษย์ อย่างน้อยก็เข้าใจราก และวิธีคิดเชิงปรัชญา หรืออย่างน้อยก็ทำให้คุณดูหนัง ฟังเพลง หรือเสพรสนิยมทางศิลปะ ดนตรี วรรณกรรมอย่างรู้ราก รู้ที่มาที่ไป หรือรู้ด้วยว่าคนไทยมาจากไหน

เพราะศิลปศาสตร์ในความหมายจริงนั้น เป็นศาสตร์ที่ครอบคลุมทุกแขนง ดังนั้นหาก ผู้เรียนมีพื้นฐานทางศิลปศาสตร์ เขาและเธอเหล่านั้นจะต่อยอดไปเรียนในระดับปริญญาโท หรือเอกได้อย่างเข้าใจ

ไม่ใช่เรียนไปเพื่อต้องการปริญญา

หรือเรียนไปเพื่ออวดโฉม หรือชุบตัว เพื่อให้คนอื่นๆ ภูมิใจว่าผม ฉัน หรือเธอจบการศึกษาในระดับปริญญาโท หรือปริญญาเอก

จนมีคำนำหน้าว่าเป็นด็อกเตอร์ แต่ไม่รู้อะไรบ้างเลย ?

เพราะฉะนั้น ในเรื่องของศิลปศาสตร์จึงเป็นศาสตร์สาขาหนึ่งที่การศึกษาไทยในยุคปัจจุบันจะต้องให้ความตระหนักอย่างมาก

และอย่าไปคิดว่า "ศิลปศาสตร์" ควรที่จะมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความชำนาญทางภาษาอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้ผู้เรียนไม่มีความรอบด้านและไม่มีความรอบรู้

เพราะตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา นับจากเรียนวิชาพื้นฐานในปี 1 พอเริ่มปี 2 เขาก็แยกเอกเพื่อไปเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ ไม่ว่าจะเป็นเอกภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เกาหลี หรือจีน อะไรก็ตาม

ทั้งนั้นเพื่อหวังเพียงว่า เมื่อเรียนจบออกไปแล้ว จะต้องไปทำงานยังบริษัทฝรั่ง จีน หรือญี่ปุ่น เนื่องเพราะบริษัทเหล่านั้นให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี

แต่เขาและเธอคงลืมไปแล้วว่า แม้จะมีเงินเดือนดีขนาดไหน แต่เมื่อถึงที่สุดในจุดหนึ่ง ในจุดที่คุณต้องขึ้นมาสู่ระดับบริหารและจัดการ คุณจะต้องเข้าใจวัฒนธรรมองค์กร

เข้าใจมนุษย์

และเข้าใจด้วยว่าจะบริหารจัดการ ทรัพยากรมนุษย์เหล่านั้นอย่างไร ที่จะทำให้เขามีความสุขต่อการทำงาน

มีโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ หรือมีเงินเดือนและสวัสดิการเป็นที่น่าพอใจ

เพราะสิ่งเหล่านี้ถูกซ่อนอยู่ในการเรียนศิลปศาสตร์ทั้งสิ้น ซึ่งไม่นับรวมรสนิยมอีกเป็นจำนวนมากที่จะทำให้เขาและเธอกลายเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์

ดังนั้นคุณูปการต่อการเรียนศิลปศาสตร์จึงไม่ได้อยู่แค่ในระบบการศึกษาเท่านั้น หากผสมปนเปเข้าไปในวิถีของมนุษย์ด้วย

มนุษย์ที่มีรสนิยม

มนุษย์ที่มองเห็นความงามของมนุษย์ด้วยกัน

จนทำให้ศิลปศาสตร์กลายเป็นความงามทางสุนทรียศาสตร์ที่ดำรงคงอยู่มาจนทุกวันนี้

ทุกวันที่โลกกำลังบิดเบี้ยวขึ้นทุกวัน ?

Monday, January 08, 2007

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๐

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๐ ทุกๆ คน ที่ผ่านเข้ามาโดยตั้งใจฤไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
คงไม่สายเกินไปที่จะกล่าวคำอวยพรนะครับ...

ขอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก
โปรดจงดลบันดาลให้คุณ มีสุขภาพกายและใจแข็งแรง พร้อมที่จะดำเนินชีวิตไปตามเส้นทางที่เลือกเดิน
และโปรดจงดลใจให้คุณ คิดแต่สิ่งที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดี เพื่อความสุขของคุณและคนรอบข้างที่คุณรักและรักคุณ

...
...
...

คืนวันปีใหม่ที่ผ่านมา ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ของผมเอง
กับการนับถอยหลังเข้าสู่ศักราชใหม่ นอกแผ่นดินเกิดเป็นครั้งแรก

ผมเดินทางเข้าสู่ลอนดอนก่อนหน้าคืนปีใหม่สองวัน
เพื่อเจอเพื่อนรักคนหนึ่งที่เดินทางมาจากเมืองไทย และเพื่อฉลองปีใหม่ที่ลอนดอนไปในตัว
คืนปีใหม่ ผม เพื่อน แฟนเพื่อน และเพื่อนของแฟนเพื่อน และเพื่อนของเพื่อนของแฟนเพื่อนอีกมากหน้าหลายตา ออกไปยืนดูการฉลองปีใหม่ท่ามกลางผู้คนและอากาศอันหนาวเหน็บที่กลางสะพานเวสมินสเตอร์ (Wesminster Bridge)
พวกเราออกจากที่พักของใครสักคนซึ่งอยู่บนตึกตรงลอนดอนอาย (London Eye) ตั้งแต่สามทุ่มกว่า เนื่องจากรู้ดีว่า หากออกช้า เส้นทางอาจถูกปิดกั้นโดยตำรวจหรือความแน่นขนัดของผู้คน จนไม่สามารถไปให้ถึงยังจุดหมายได้
หลังจากเดินมาจนถึงจุดที่คาดว่าสามารถชมการเฉลิมฉลองได้ดีและทั่วถึง พวกเราต้องยืนรอกันอีกกว่าสองชั่วโมง
ลอนดอนอายตอนกลางคืนมีการประดับด้วยไฟซึ่งเปลี่ยนสีสันไปเรื่อยๆ
ตึกข้างๆ ลอนดอนอาย ถูกใช้เป็นฉากสำหรับการฉายภาพต่าง สลับกันไปในระหว่างรอเวลา และรวมไปถึง ตัวเลขบอกเวลานับถอยหลังในการก้าวเข้าสู่ปีใหม่
ยิ่งดึก ผู้คนยิ่งแน่นมากมาขึ้น และคึกคักกันมากขึ้น
พอได้เวลา ทุกคนพร้อมใจกันนับถอยหลังตามตัวเลขที่ถูกฉายลงบนตึก
(ตอนนับ 5 4 3 2 1 ผมตะโกนนับเลขเป็นภาษาไทย ใครได้ยินคงงงว่า ไอ้กะเหรี่ยงนี่มันตะโกนอะไรของมันวะ ....เหตุผลก็คือ ผมตื่นเต้นจนนับเป็นภาษาอังกฤษไม่ถูก)

ช่วงเวลานับสิบนาทีแห่งการเฉลิมฉลอง นับเป็นภาพประสบการณ์ที่น่าจดจำ
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยพลุที่ถูกจุดขึ้น โดยมีลอนดอนอายเป็นฉาก (รวมถึงพลุบางชุดก็ถูกจุดออกมาจากตัวลอนดอนอายเอง) สวยงาม ยิ่งใหญ่ อลังการ จริงๆ

...แต่ ณ เสี้ยวหนึ่งของช่วงเวลานั้น ใจผมลอยกลับไปยังแผ่นดินเกิด

ค่ำคืนนั้นน่าจดจำ ผมไม่ปฏิเสธ และหากให้เลือกได้ ผมก็อยากได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์และบรรยากาศนั้นสักครั้งหนึ่งในชีวิต
แต่... แค่ครั้งเดียวก็คงเกินพอ
ณ ขณะหนึ่ง ผมน้ำตารื้นด้วยความคิดถึงทุกคนที่ผมรัก ครอบครัว พ่อ แม่ พี่สาว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงอันเป็นที่รัก
แน่นอน แสงสว่างและความร้อนจากพลุที่ถูกจุด(ซึ่งสัมผัสไม่ได้หรอก เพราะอยู่ไกลเกินไป) จะไปสู้ความอบอุ่นจากบุคคลอันเป็นที่รักได้อย่างไร

...
...
...

ณ อีกเสี้ยวเวลาหนึ่ง ผมนึกถึงบางเรื่องราวของชีวิต
ผมคิดอยากให้พลุเป็นเหมือนกับเสียงปืนให้สัญญาณเริ่มต้นการแข่งขัน
เพียงแต่นี่ไม่ใช่การแข่งขัน แต่เป็นสัญญาณให้ผมเริ่มต้นก้าวเดิน ออกเดินทางไปตามวิถีที่มันควรจะเป็นไป
มันไม่ง่าย แต่ผมหวังว่าผมจะทำได้ดี
เช่นกัน... หลังจากความเจ็บช้ำกับชีวิตบางด้าน ผมขอให้มันเป็นสัญญาณเริ่มต้นของสิ่งดีๆ ในชีวิตของเธอ ขอให้เธอมีความสุข (เธอคงไม่ได้เข้ามาอ่าน)

และทุกๆ คนที่เข้ามาอ่านงานเขียนของผมด้วยนะครับ ขอให้มันเป็นสัญญาณเริ่มต้นของสิ่งดีๆ ใครอยากทำอะไร แต่ยังไม่ได้ทำ ก็ถือโอกาสนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีก็แล้วกันนะครับ

สวัสดีปีใหม่ครับ