Wednesday, December 26, 2007

I'm eating my hope to survive

ผมจากบ้านเกิดเมืองนอนอันเป็นที่รัก มาพำนักพักอาศัยอยู่หกพันไมล์ไกลบ้านได้เป็นเวลาหนึ่งปีกับอีกสามเดือนกว่า
อย่าถามว่าผมคิดถึงบ้าน อยากกลับบ้านไหม... "โคตร" คือคำตอบ
เพื่อนหลายคนมักทักทาย ไถ่ถาม มาทาง msn อยู่เนืองๆ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
คำตอบในระยะหลังของผม มักจะเป็น

I'm eating my hope to survive.

และผมหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะความหวังบางอย่างที่มีอยู่ ผมคงถอนทัพกลับเมืองไทยไปแล้ว

มีเพื่อนถามว่า ทำไมไม่เป็น i'm eating my dream to survive.
คำว่า dream มันฟังดูมีพลัง และดูหล่อกว่า hope มากอยู่ (ฮา)
แต่ผมแค่คิดว่า dream สำหรับผม มันดูเป็นอะไรที่เพ้อฝัน จับต้อง(ยัง)ไม่ได้ มันเหมือนเป็นเพียงแค่วิมานที่ถูกวาดบนอากาศ
ใช่ มันเริ่มต้นจาก"ความฝัน"นี่แหละ แต่ผมลงมือทำอะไรอะไรไปแล้วมากพอควร
มากพอที่ความฝันอันเดิมนั้นมันเริ่มที่จะเป็นรูปเป็นร่าง มีรากฐาน จับต้องได้
มันกลายมาเป็น"ความหวัง" ซึ่งสำหรับผม มันมีโอกาส มีหนทาง
ผมมองเห็นเส้นทางที่จะเดินทางไปคว้าฝันนั้นมาได้
แต่ผมเองก็ยังไม่รู้ว่ามันจะออกหัวออกก้อย ...ยังไม่รู้ว่าผมจะได้เดินบนเส้นทางที่ผมเห็นนั่นฤเปล่า

วันนี้ ผมกับไอ้พอลมีไอเดียสำหรับพอร์ทโฟลิโอเล่มใหม่ครบหมดแล้ว
เรียกว่าเสร็จไปเก้าสิบ เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์แล้ว สำหรับพอร์ทโฟลิโอเล่มนี้
เหลือแค่วาดมันขึ้นมา รวมถึงตัดสินใจกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ สำหรับบางชิ้นงานเท่านั้น
จากนั้น ก็หาทางติดต่อครีเอทีฟในเอเจนซี่ทั้งหลายแหล่(ที่เราอยากเข้าไปฝึกงาน ทำงานที่นั่น) เพื่อขอเข้าไปให้เขาดูงานที่เรามี
ทีนี้ล่ะ ผมจะได้เห็นความเป็นไปได้ ผมจะตอบตัวเองได้เสียที ว่าจะกัดฟันทนสู้อยู่ที่นี่ต่ออีกหน่อย ฤว่าจะกลับไปเริ่มต้นที่เมืองไทยอันเป็นที่รักดี

พูดแล้วก็หงุดหงิดทั้งตัวเองและไอ้พอล
ถ้าไม่โอ้เอ้ เรื่อยเฉื่อย ถ้ามีวินัยให้มากกว่านี้ ถ้ามุ่งมั่น ฝักใฝ่ ให้มากกว่านี้ ป่านนี้ คงผ่านพ้นขั้นตอนที่เอางานไปให้ดูนี้ไปแล้ว
ป่านนี้ผมคงรู้แล้วว่ามันมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน กับความฝันน้อยนิดมหาศาลของผมอันนี้

...
...
...

ด้วยสภาพทางการเงินของทั้งตัวผมเองที่นี่จากการทำงานพิเศษเป็นเด็กเสิร์ฟ และของทางบ้านที่ไม่ได้มั่งมีอะไร
ด้วยสภาพจิตใจที่อ่อนล้า โหยหา อยากกลับไปหา"ชีวิต"ของผมที่ประเทศไทย บ้านเกิด
ณ เวลานี้ ผมใช้ชีิวิตอยู่ในมหานครลอนดอนนี้ได้ด้วยการกัดก้อนความหวังกินจริงๆ
หากมันหมดลงเมื่อไร ผมคงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ เพราะผมไม่อยากอดตาย(ทั้งทางร่างกายและจิดใจ)อยู่ที่นี่

และเมื่อวันนั้นมาถึง เราจะได้เจอกัน ...ที่ประเทศไทย

Wednesday, December 12, 2007

mickey mouse day

อาทิตย์ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๐ = mickey mouse day

ขอบคุณ

Friday, November 16, 2007

บ่นบ้า

ทำไมกูไม่จำสักทีนะ ว่าไอ้การที่จะตั้งใจพูดให้คนที่ไม่คิดจะ"ฟัง"เราตั้งแต่แรกสักเท่าไร แม่งเหนื่อยเปล่า
แม่ง ทำเหมือนจะ"ฟัง"แต่มันแค่"ได้ยิน"ในส่ิงที่เราพูด โดยที่มันมีบทสรุปว่าที่เราพูด'มันไม่ใช่'มาแล้วตั้งแต่ต้น
ยิ่งพูด ก็ยิ่งเฉไฉ ไถๆ แฉลบๆ ไปเรื่อย
เหนื่อยชิบหายกับที่ต้องตามมันไปพูดถึงประเด็นแฉลบ แล้วบอกว่าที่กำลังพูดกันอยู่เนี่ย มันไม่ใช่ประเด็นนี้ แล้วที่มึงกำลังพูดเนี่ย มันแฉลบออกไปแล้วโว้ย
แล้วสุดท้ายกลับมาบอกว่าเราเป็นคนคิดอะไรแคบๆ อีก เออ... เอากะมันดิ

เรามั่นใจในความพยายามที่จะมองให้หลากมุมของเรา และเราก็คิดว่า หลายๆ คนที่ตั้งใจ"ฟัง"ความคิดเห็นเราดีพอ จะรู้ได้ว่าเราพยายามมองให้หลากมุม พยายามที่จะไม่ลืมว่า คนเรามันต่างกัน และต้องอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหาบนพื้นฐานของความต่าง
เราเองซะอีก ที่ควรจะบอกมันว่า มันกำลังเชื่อว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้จะเป็นแบบที่มันคิดมากเกินไปฤเปล่า

จำไว้ไอ้โบ๊ท จำไว้... ต่อไปให้ปล่อยผ่าน

Thursday, November 08, 2007

พระจันทร์ตกน้ำ... ที่ไหนจะสวยเท่าที่เจ้าพระยา...

เคยได้ยินกันไหม เพลงประกอบโฆษณาโครงการณ์ตาวิเศษ
(สมัยผมเด็กๆ ...เอ่อ กี่ปีมาแล้วนี่)

แต่เรื่องที่จะเขียนต่อไปนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับโฆษณาและเพลงประกอบข้างต้น ...!!!!




เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งได้ดูรายการ Top Gear บนทีวีช่อง Dave (ฤไม่ก็ Dave +1)
มีอยู่ช่วงหนึ่ง ทางผู้ดำเนินรายการเขาจัดให้มีการทดสอบการช่วยเหลือตัวเองหากเกิดเหตุการณ์รถตกน้ำ ว่าเราควรจะทำอย่างไรเพื่อเอาตัวรอดจากการจมน้ำ

อืม... รถตกน้ำ ที่ไหนๆ ก็คงไม่สวยเหมือนพระจันทร์ตกน้ำหรอก
ใช่ไหม...

...
...
...

วันนี้ ผมได้ฟอเหวิดเมลฉบับหนึ่ง ซึ่งจริงๆ ก็จำได้ว่าเคยได้อยู่เรื่อยๆ
เนื้อหาในฟอเหวิดเมลบอกเล่าถึงวิธีการปฏิบัติหากเกิดเหตุอันไม่พึงประสงค์ขณะขับรถ คือ ยางระเบิด และ รถตกน้ำ
ผมขอพูดถึงแค่รถตกน้ำก็แล้วกัน
นี่คือข้อควรปฏิบัติที่กล่าวไว้ในฟอเหวิดเมลนั้น

กรณีที่ 2 เมื่อรถตกน้ำ
ในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุแล้วตกลงไปในแม่น้ำ ลำคลองใดๆ ก็ตาม
รถจะไม่ตกลงไปใน น้ำแล้วจมทันที เหมือนหิน ตกน้ำ แต่จะค่อยๆ
จมลงทีละน้อยๆ จนกว่าจะถึง พื้นล่างและในนาทีวิกฤตนี้
ควรตั้งสติให้ดี และปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. ปลด SAFETY BELT ออกทุกๆคน รวมทั้งผู้โดยสารด้วย
2. อย่าออกแรงใดๆ เพื่อสงวนการใช้อากาศหายใจซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนจำกัด
3. ให้ยกส่วนศีรษะให้สูงเหนือระดับน้ำที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นในรถ
4. ปลดล็อกประตูรถทุกบาน
5. หมุนกระจกให้น้ำไหลเข้าในรถเพื่อปรับความดัน!
ในรถและนอกรถให้เท่ากันมิฉะนั้นท่านจะเปิด
ประตูรถไม่ออก เพราะน้ำจากภายนอกตัวรถจะดันประตูไว้
6. เมื่อความดันใกล้เคียงกันแล้วให้ผลักบานประตูออกให้กว้างสุด
แล้วท่านก็ออกจากห้องโดยสารของ รถได้
7. จากนั้นท่านอาจจะปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเหนือน้ำตามธรรมชาติ
หรือจะว่ายน้ำขึ้นมาก็ได้ ในกรณีนี้หาก น้ำลึกมากๆอาจจะมองไม่เห็นว่า
ทิศใดเหนือน้ำ ทิศใดใต้น้ำเพราะว่า มืดไปหมดไม่ควรใช้วิธีว่ายน้ำ เพราะอาจจะว่าย ไปในทิศทางที่ไม่ขึ้นเหนือน้ำ
กรณีเช่นนี้ ควรปล่อยตัวให้ลอยขึ้นตามธรรมชาติ หรือ ลองเป่าปากดูว่า ฟองอากาศลอยไปในทิศทางใด
ให้ว่ายน้ำไปในทิศทางที่ฟองอากาศลอยไป ก็จะไม่มี อาการ หลงน้ำ
นอกจากนั้น ก่อนออกจากรถ หากท่านมีผู้โดยสารที่เป็นเด็กๆ อาจจะหนีบ เด็กๆ นั้น
ออกมากับท่านได้อีกหนึ่งคน ดังนั้นหากท่านปฏิบัติ ตามวิธีการเหล่านี้
ก็จะช่วยให้ชีวิตของท่าน ปลอดภัยได้ ในยามคับขัน

...
...
...

ในรายการ Top Gear ผู้ดำเนินรายการได้จำลองสถานการณ์รถตกน้ำขึ้นมา
ครั้งแรก เขาปฏิบัติเหมือนๆ กับที่ในฟอเหวิดเมลแนะนำ
ผลก็คือระหว่างรอให้ความดันในรถกับข้างนอกเท่ากัน อากาศเฮือกสุดท้ายที่เขาสูดเก็บไว้ในชั่วขณะก่อนที่น้ำจะเข้ามาเต็มรถ ได้หมดลงเสียก่อนที่จะสามารถเปิดประตูได้
(ในรายการ มีนักดำน้ำพร้อมถังออกซิเจนนั่งอยู่ข้างหลังรถด้วย ผู้ทดลองให้สัญญาณขอออกซิเจนมาใช้หายใจ จึงไม่เป็นอะไร)
ด้วยทักษะภาษาอังกฤษที่ยังคงกระท่อนกระแท่นของผม ผมจับความจากที่เขาอธิบายได้ว่า
หลังจากน้ำเข้ามาจนเต็มรถ (หรือเกือบเต็ม แต่ผมเข้าใจว่า จนผ่านพ้นวินาทีที่เราจะหายใจเฮือกสุดท้ายได้แล้ว) ความดันภายนอกและภายในรถไม่ได้เท่ากันในทันที
เขายังคงไม่สามารถเปิดประตูรถได้ ไม่ว่าจะออกแรงแค่ไหน
กว่าที่จะสามารถเปิดประตูได้ ก็เมื่อรถได้จมลงสู่พื้นสระแล้วชั่วขณะหนึ่ง
ซึ่งในการทดลอง สระน้ำที่เขาทดลองลึกเพียงไม่กี่เมตร (ผมจำไม่ได้แน่ชัดนัก แต่คิดว่าไม่น่าจะเกิน 3-4 เมตร)
ลองจินตนาการว่า ในชีวิตจริง หากเกิดเหตุการณ์รถตกน้ำจริง ความลึกจะเป็นเท่าไร และเวลาที่ต้องรอจนกว่าจะเปิดประตูได้ จะยิ่งนานขึ้นมากแค่ไหน

ในรอบที่สอง ผู้ทดลองได้รีบถอดเข็มขัดนิรภัย พยายามเปิดประตูพาตัวเองออกมาจากรถทันทีที่รถตกน้ำ ในช่วงเวลาที่รถยังลอยอยู่บนผิวน้ำ
(รถจะไม่จมลงไปใต้น้ำทันที จะมีช่วงเวลาที่ลอยอยู่ระดับผิวน้ำและค่อยๆ จมลงช้าๆ)

เขาปลอดภัยโดยไม่ต้องใช้ความช่วยเหลือใดๆ จากนักดำน้ำ

...
...
...

ผมอาจไม่ใช่พุทธศาสนิกชนที่ดีนัก จึงไม่สามารถจำคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ละเอียด
แต่ผมจำได้ว่า ในหลักกาลามาสูตร มีข้อหนึ่งบอกไว้ว่า

อย่าปักใจเชื่อเพียงเพราะเขาบอก

Sunday, October 21, 2007

ชนใดไม่มีดนตรีกาลในสันดานเป็นคนชอบกลนัก

คืนวันเสาร์ ผมเสร็จจากงานเสิร์ฟตอนห้าทุ่มกว่า
เซ็งนิดหน่อยที่ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นที่พี่ๆ ในครัวอุตส่าห์จัดใส่กล่องไว้ให้กลับไปกินที่บ้าน เนื่องด้วยรู้ว่าผมชอบกินเนื้อมาก ถูกเจ้าแดเนียล คนขับรถส่งอาหาร หยิบถุงผิดกลับไป คงเหลือไว้แต่ไก่ผัดกระเทียมพริกไทย(และข้าวผัดไข่)ไว้ให้ผมได้เอากลับบ้านแทน
ด้วยความเซ็ง ในขณะที่ผมกำลังจะขึ้นอันเดอร์กราวนด์จากสถานีโอลด์สตรีท เดินผ่านโฮมเลส(ซึ่งมีอยู่ทุกทางเข้าของสถานีนี้เป็นประจำทุกค่ำคืน)ผมจึงยื่นอาหารให้เขา
โฮมเลสพูดขอบคุณ
ในชั่วขณะแรก ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แค่เกิดความเซ็ง ที่ไม่ได้กินของที่อยากกิน แต่กลับได้ของ"ดาดๆ"กลับมาแทน เลยประชดด้วยการไม่เอามันซะเลยดีกว่า
แต่เพียงไม่กี่วินาทีที่ได้เห็นสีหน้าดีใจของโฮมเลสคนนั้น มันทำให้ผมได้รู้จักคิดอะไรมากขึ้น
ผมรู้สึกหายเซ็งเรื่องเนื้อตุ๋นเป็นปลิดทิ้ง
ผมแค่ไม่ได้กินของที่อยากกิน แต่กับบางคนแม้ของที่ไม่อยากกินก็อาจช่วยให้เขาอิ่มและมีความสุขไปได้อีกหนึ่งมื้อ
ของที่ผมไม่ต้องไปลำบากลำบนอะไรนักเพื่อที่จะได้มันมา อาจมีค่ามากๆ กับคนบางคน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่ค่าครองชีพสูงติดอันดับโลกอย่างมหานครลอนดอนนี้
...
...
...

เรื่องราวของค่ำคืนนี้สำหรับผมยังไม่จบ

ผมจับรถไฟอันเดอร์กราวนด์ไปที่สถานีแคมเดน ด้วยหวังว่าเพื่อนๆ ที่เรียนมาด้วยกันที่ฟาลมัธจะยังคงสังสรรค์กันต่อ ณ ที่ใดที่หนึ่งในละแวกนั้น
กลับกลายเป็นว่างานเลี้ยงเลิกราเร็วกว่าที่ผมอยากให้เป็น ผมจึงต้องจับรถไฟอันเดอร์กราวนด์กลับบ้านที่สถานีคอลเลียร์สวูด

เรื่องราวที่ทำให้ผมอารณ์ดีมากๆ ในรอบหลายวัน(และเป็นที่มาของชื่อเรื่อง)เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางเที่ยวนี้...

ระหว่างกำลังรอเปลี่ยนรถในสถานียูสตัน ผมสังเกตเห็นชายคนหนึ่งสะพายกีตาร์โปร่งโทรมๆ ตัวหนึ่ง
สักพัก เขาก็ดีดกีตาร์และร้องเพลงเสียงดังลั่นชานชาลา
ดังซะจนผมต้องกดปุ่มหยุดที่เครื่องเล่นซีดีและเงี่ยหูฟังเสียงเพลงจากชายคนนั้น
"ไม่เลวแฮะ" ...ผมคิด

หลังจากพาตัวเองขึ้นไปบนรถไฟ ผมพบว่าชาย(ไม่ค่อย)หนุ่มวณิพกคนนั้นขึ้นรถไฟตู้เดียวกับผม
คราวนี้ผมถึงกับถอดหูฟังออกจากหูผม แล้วตั้งใจฟังเพลงที่ชายคนนั้นบรรเลง
ด้วยกีตาร์เก่าโทรม ผุพัง และมีเทปกาวปะไปทั่ว สายกีตาร์ระเกะระกะ เสียงเพลงสไตล์ร็อคแอนด์โรลในแบบคล้ายๆ กับเอลวิสที่เขาเล่นกลับฟังดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
เสียงร้องของเขาเองก็ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

หลังจากจบเพลงสั้นๆ ที่เขาเล่น เขาพูดเสียงดังฟังชัด ประมาณว่า จบเพลงสำหรับเอนเตอร์เทนในค่ำคืนนี้แล้ว หากจะมีใครคิดจะให้เงินกับกีตาร์แมนคนนี้ก็เชิญเลยครับ
ด้วยสีหน้าอิ่มสุขทั้งตอนที่เขาเดี่ยวกีตาร์และตอนที่เขาเดินขอ ...ไม่สิ... ผมไม่อยากใช้คำว่า"ขอ"
เอาเป็น...
ด้วยสีหน้าอิ่มสุขทั้งตอนที่เขาเดี่ยวกีตาร์และตอนที่เขาเดินรับสิ่งแลกเปลี่ยน(ด้วยความสมัครใจ)สำหรับความบันเทิงเล็กน้อยที่เขาเสนอให้ มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาอย่างค่อนข้างน่าประหลาดใจ
(หากนึกถึงความรู้สึกเซ็งในตัวเองและในชีวิตที่เสนอหน้ามาบ่อยๆ (จนผมเหม็นหน้ามัน)ในระยะหลังนี้ และเรื่องเล็กน้อยอย่างก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นที่กล่าวถึงข้างต้น)

ผมได้เพียงแค่ยิ้มให้เขา เมื่อคิดถึงสถานการณ์ทางการเงินที่ผมเองก็เผชิญอยู่ในมหานครแห่งนี้... ทั้งที่ในใจก็นึกหวัง อยากให้คุณวณิพกคนนี้ได้ค่าตอบแทนจากความบันเทิงที่เขาหยิบยื่นให้บ้าง
(หากใครเคยมาเยี่ยมเยียนลอนดอน คงนึกภาพออกว่าอันเดอร์กราวนด์ของที่นี่ มันเก่าและซ่อมซ่อแค่ไหน ยิ่งตอนเที่ยงคืนหรือหลังจากนั้น ตอนที่คนน้อยๆ และเกือบทุกคนเหนื่อยกับวันหนักๆ ของตนเองมา บวกรวมเข้ากับความสกปรกรกรุงรังจาก ขยะ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร กล่องอาหาร ขวดน้ำ ขวดเบียร์ กระป๋องน้ำอัดลม ฯลฯ ...ทุกอย่างไม่ได้ช่วยให้ก่อเกิดบรรยากาศอันน่ารื่นรมย์เลยแม้แต่น้อย)
ผู้ชายเอเชียคนที่นั่งข้างๆ ผม ล้วงมือในกระเป๋าสะพายของเขา ในชั่วขณะที่ชายวณิพกเดินมาถึง
วณิพกหยุดยืนรอ สีหน้าคาดหวังถึงสิ่งแลกเปลี่ยนที่เขากำลังจะได้
ผมหยุดสายตาไว้ที่ชายทั้งสอง แอบดีใจแทนวณิพก ที่เขากำลังจะได้สิ่งตอบแทนที่(ผมคิดเองเออเอง)ว่าเขาสมควรได้
แต่หลังจากที่ชายวณิพกหยุดยืนรอได้สักพัก ภาพที่เห็นคือชายชาวเอเชียคนนั้นหยิบซองทิชชูแบบเปียกที่ใช้ทำความสะอาดขึ้นมา และหยิบใช้

ในแวบความคิดแรก ผมสบถในใจ

ไม่มีทางที่ชายชาวเอเชียคนนั้นจะไม่เห็นว่าวณิพกหยุดยืนรอสิ่งแลกเปลี่ยนจากเขา
แล้วทำไมเขาปล่อยให้ชายวณิพกหยุดยืนรอด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมจนล้นออกมาทางสีหน้า
ผมหงุดหงิด (ทั้งๆ ที่ในภายหลัง เมื่อมาคิดดูแล้วก็ไม่ใช่ความผิดอะไรของชาวเอเชียคนนั้น ผมมีสิทธิอะไรไปหงุดหงิดเขา โดยที่ผมเองก็ไม่ได้คิดจะให้ส่ิงตอบแทนแก่ชายวณิพกเหมือนกัน)

สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจมากกว่าการที่จู่ๆ ผมก็อารมณ์ดีขึ้นมาเฉยๆ เพียงแค่ได้ฟังเสียงเพลงสั้นๆ จากชายวณิพก ก็คือสีหน้าของเขา เมื่อได้รู้ว่า ความความหวังที่เขามีจากชายชาวเอเชียเป็นเพียงเขา(ไม่สิ ผมก็ด้วย)ที่คิดไปเอง
ผมประหลาดใจที่เขาไม่ชักสีหน้าผิดหวัง หงุดหงิด ไม่พอใจ ใดๆ ทั้งสิน
ตรงกันข้าม ...เขายิ้ม ยิ้มและผละจากชายชาวเอเชีย เดินต่อไปเผื่อจะมีใครในตู้รถไฟตู้นั้นอยากให้สิ่งแลกเปลี่ยนกับเขาบ้าง

สาบานได้ว่า มันเป็นสีหน้าและรอยยิ้มของคนมีความสุข

ผมอึ้งไปหลายวินาที สมองเริ่มคิดไปเรื่อยเปื่อย...
ชายวณิพก... ดูจากสภาพภายนอก เนื้อตัวที่มอมแมมอยู่บ้าง เสื้อผ้าที่ดูเก่าและไม่มีราคาเท่าไร ผิวหนังที่ดูหยาบกร้าน
แน่นอน เขาคงต้องปากกัดตีนถีบ เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่รอดในเมืองหลวงแห่งนี้
แทนที่เขาจะหิวกระหายแค่เม็ดเงิน ด้วยว่ามันเป็นสิ่งที่จะทำให้เขาประทังชีวิตของเขาต่อไป กลับกลายเป็นว่าเขาเสนอความบันเทิงให้ผู้คนด้วยเต็มใจ
จะได้สิ่งตอบแทนจากผู้คนฤไม่ มันอาจไม่สำคัญเท่ากับการที่เขาตั้งใจทำอะไรบ้างอย่างด้วยความสุข มีศักดิ์ศรี ไม่ขอใครกินเปล่าๆ

ในขณะที่เขาเดินกลับมาที่ผู้หญิงตรงข้ามผม (คงเป็นคู่ครอง คู่ชีวิต คนรัก - สุดแท้แต่ใครจะเรียก - ของเขา) คงพูดคุยตกลงกันว่าจะลงหรือเปลี่ยนขบวนที่สถานีไหน
ผมเริ่มคิดเปลี่ยนใจ แล้วก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงควานหาเหรียญปอนด์
ชายวณิพกก้าวเดินไปอีกด้านของตู้โดยสาร
ไม่เป็นไร ...ผมคิด... เดี๋ยวเขาก็ย้อนกลับมา
ผิดคาด เมื่อรถไฟจอดที่สถานีถัดไป เขาลงจากตู้โดยสาร
อา... ใช่ เขาคงจะไปที่อีกเวทีของเขา ในตู้โดยสารถัดไป ...ผมลืมคิดไปได้ยังไงนะ

ในเสี้ยววินาที ผมตัดสินใจลุกขึ้น เดินตามเขาไป จำได้ว่าผมตื่นเต้นพอสมควร
อย่าถาม... เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตื่นเต้นทำไม
ผมเดินตามเขาไปจนออกจากตู้โดยสาร และไปทันเขาในจังหวะที่เขากำลังจะก้าวขึ้นตู้โดยสารถัดไปพอดี
ในมือผมมีเหรียญปอนด์อยู่ ผมเอื้อมมือไปสะกิดที่หลังของชายวณิพก
เขาหันกลับมา ผมยื่นเหรียญให้ ใส่มันลงในมือของเขาที่ยื่นออกมารับเมื่อรู้จุดประสงค์ที่ผมเดินตามมา
หลังจากขอบคุณอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้มเดิมๆ เขาเดินขึ้นตู้โดยสารไป
ผมลังเล แต่ก็ตัดสินใจในเสี้ยววินาทีว่าจะไม่เดินตามเขาขึ้นไป ผมตัดสินใจรอรถไฟขบวนถัดไป เพราะรู้ว่าจะเดินกลับไปที่ตู้เดิมก็ไม่ทัน
ผมมองเห็นเขาเริ่มต้นการแสดงของเขา พร้อมๆ กับที่ประตูรถไฟเลื่อนเข้าหากัน
แล้วรถไฟก็เคลื่อนออกจากชานชาลาไป

ผมรู้ตัวว่ายิ้มไม่หุบในระหว่างเดินมาที่ม้านั่ง
ความรู้สึกที่มี มันดีอย่างที่อธิบายไม่ถูก ...มันดีจนผมต้องเอามือไปตบกำแพงถี่ๆ หลายๆ ครั้งด้วยความสุขใจ (มันเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกดีๆ อย่างหนึ่งของผม)
ผมคงดีใจ ที่ได้ให้เงินหนึ่งปอนด์เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนแก่ชายวณิพก
มันอาจไม่มาก แต่ผมถือว่ามันเป็นการแสดงออกถึงความยอมรับในคุณค่าบางอย่างที่เขามี
และผมหวังว่าเขาคงรับรู้ได้จากการที่ผมเดินตามมาถึงตู้โดยสารอีกตู้ ยอมเสียเวลา กลับบ้านช้าลงอีกหน่อย เพื่อเอาสิ่งที่เขาสมควรได้มาให้

ผมเชื่อว่าเขาสมควรได้...
เพราะอย่างน้อยๆ เขาก็ทำให้มันเป็นรถไฟเที่ยวดึกที่รื่นรมย์และน่าจดจำที่สุดเที่ยวหนึ่งสำหรับผม

Saturday, October 20, 2007

บันทึกช่วยจำ[ส่วนตัว]

เสาร์ที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๐

๑.
ตื่นค่อนข้างเช้า... แปดโมงครึ่ง ...เอ่อ ก็อาจดูไม่เช้ามาก แต่หากเทียบกับเวลาเข้านอน ประมาณตีสองครึ่งตีสาม ก็นับว่าเช้าอยู่
ที่ต้องตื่นเช้า เพราะมีนัดกับอาร์ตไดเรกเตอร์ของผม - พอล - ว่าจะไปบ้านพ่อแม่มัน ผมเองอยากไปเอากระเป๋าที่ทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนที่ไปอาศัยอยู่ที่นั่น
แต่พอใกล้ถึงเวลา โทรหาไอ้พอล มันไม่รับโทรศัพท์ ...นึกในใจ เอาอีกแล้ว ไอ้พอล มึงเบี้ยวกูอีกแล้ว
(มารู้ทีหลัง ตอนมันโทรกลับมาตอนสิบเอ็ดโมงสี่สิบห้า แล้วบอกว่า กำลังเดินกลับบ้าน ...อืม แล้วเมื่อคืนพอเลิกงาน มึงไปนอนที่ไหนมาวะเนี่ย
แล้วพ่อแม่มันก็ไม่อยู่บ้านสุดสัปดาห์นี้ ไปหายายไอ้พอลที่ portsmouth จะไปเองก็ไม่ได้
สรุปว่าเมื่อไรกูจะได้ไปเอากระเป๋าล่ะครับ ไอ้คุณพอล)

๒.
ระหว่างที่นั่งรอโทรศัพท์จากพอล ผมเปิดทีวีที่เพิ่งได้มาเมื่อวาน(มือสอง)ดูไปพลาง แล้วก็ต่ออินเตอร์เนทใช้ไปพลาง
ในระหว่างดูโน่นดูนี่ มีช่วงจังหวะที่กลับมาเปิดดูที่หน้า contact list ของ messenger
ระหว่างที่ไล่ดูลงมาตามรายชื่อ พลันสายตาก็ไปสะดุดกับชื่อชื่อหนึ่ง...

ผมไม่เคยเห็นเธอออนไลน์มานานนับปี
ถัดจากความรู้สึกประหลาดใจในเสี้ยววินาทีแรก ก็เป็นความรู้สึกของหัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ
ผมไม่ประหลาดใจ เพราะความรู้สึกในใจมันมากเสียจนยากที่จะมองผ่านไปได้

๓.
ผมทักเธอ และเราคุยกันอยู่พักใหญ่
ในจินตนาการผ่านตัวหนังสือบนจอไฟฟ้า เธอยังคงน่ารักไม่เปลี่ยน
ซ้ำร้ายอาจมากกว่าเดิม เมื่อในบางครั้ง บางประโยค ผมรู้สึกว่าเธอมีความมั่นใจขึ้นมากกว่าแต่ก่อน
เวลาเธอหยอกล้อ ผมยังคงได้ยินเสียงของเธอแจ่มชัดอยู่ในหัว
แม้ว่าในควาเป็นจริง บางที ในความจริงมันอาจไม่เหมือนที่เคยเป็น
บางที อาจเป็นผมเองที่หยุดเวลาเอาไว้

๔.
ผมให้ที่อยู่ใหม่กับเธอ
เธอบอกว่าตั้งแต่ไปอยู่เชียงใหม่ เธอชอบส่งโปสการ์ด
ผมขอให้เธอส่งรูปถ่ายที่ผมอยากได้มาให้
ผมบอกเธอว่า คิดถึง ส่งมานะ แล้วผมจะรอ

...แล้วผมก็น้ำตาร่วง...

มันเป็นหยดน้ำตาของความคิดถึง
ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้เธอ(ฤใครๆ)รู้ว่าความคิดถึงมันมากมายแค่ไหน
ตอนที่พิมพ์ว่า "เราจะรอ" หากใครเอาปรอทวัดความคิดถึงมาให้ผมอมใต้ลิ้น มันคงจะพุ่งขึ้นจนทะลักกระเปาะ
ทะลักจนล้นออกมาเป็นหยดน้ำตา
แต่อย่าถามต่อว่าในหยดน้ำตาหยดนั้น นอกจากความคิดถึงแล้ว มันยังปนเปื้อนด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจฤไม่
เพราะแม้แต่เจ้าของหยดน้ำตาเองก็ยังไม่แน่ใจ

๕.
หลายใครถามผมว่า เมื่อไรถึงจะเลิกเสียใจจากความรักครั้งนี้
หลายใครถามผมว่า เมื่อไรผมจะลืม แล้วเริ่มต้นใหม่

ผมตอบไม่ได้

ให้ผมถามหลายใครกลับบ้างได้ไหม?
จำได้เลาๆ สมัยเด็กๆ ในแบบเรียน เขาบอกว่า กล้ามเนื้อหัวใจเป็นกล้ามเนื้อเรียบ บังคับไม่ได้ (ใช่ไหม?)
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมอยากถามว่า

ถ้าเราคิดจะลืม เราก็จะลืมได้จริงๆ น่ะหรือ
ถ้าเราคิดจะเลิกเสียใจ เราก็จะเลิกเสียใจได้จริงๆ น่ะหรือ
ถ้าเราคิดจะหยุดรัก ความรักมันก็จะจางจากไปดื้อๆ ได้จริงๆ น่ะหรือ

ผมไม่ค่อยมั่นใจ

...ก็ในเมื่อ เรื่องบางเรื่อง ยิ่งจำก็ยิ่งเจ็บช้ำ
...ก็ในเมื่อ เรื่องบางเรื่อง ไม่ต้องบันทึก เราก็จำฝังใจ

Thursday, September 27, 2007

แอ๊ปเปิ้ลของพระเจ้า

อดัม เป็นมนุษย์เพศผู้ที่พระเจ้าสร้างขึ้น และได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในสวนของพระเจ้าอย่างมีความสุข
ในสวนของพระเจ้า มีต้นแอ๊ปเปิ้ลอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งอดัมไม่ได้รับอนุญาตให้กินแอ๊ปเปิ้ลจากต้นนั้น
อดัมรับรู้และเข้าใจ...

...มันเป็นแอ๊ปเปิ้ลของพระเจ้า

แต่นานวันเข้า ทั้งความสงสัยใคร่รู้ ว่าผลแอ๊ปเปิ้ลจากต้นแอ๊ปเปิ้ลนั้นมันจะหอมหวานเพียงไร
ทั้งความที่แอ๊ปเปิ้ลของพระเจ้ายิ่งดูน่ากินขึ้นทุกวัน และอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ
วันหนึ่ง อดัมอดใจไม่ไหว ตัดสินใจละเมิดข้อห้ามของพระเจ้า เอื้อมมือไปเด็ดแอ๊ปเปิ้ลจากต้นแอ๊ปเปิ้ลนั้น
ยังไม่ทันที่รสชาติอันหอมหวานของแอ๊ปเปิ้ลจะจางหาย พระเจ้าก็ปรากฏกายขึ้น
พระเจ้าไม่พอใจที่อดัมละเมิดข้อห้ามที่พระเจ้าสั่งไว้ จึงสาปให้แอ๊ปเปิ้ลที่อดัมกินเข้าไป กลายเป็นลูกกระเดือกติดอยู่ที่คอของอดัมตลอดไป

...
...
...

ในชีวิตจริง บางอย่าง เราเองก็รู้ว่ามันไม่ควร หากทำลงไป ใครไม่รู้ตัวเราเองก็รู้
ความสำนึกผิดมันจะติดค้างอยู่ในใจ ไม่ต่างจากแอ๊ปเปิ้ลที่ติดอยู่ในคอของอดัมไปตลอด
หากแต่บางอย่างที่ว่า มันก็ช่างหอมหวานและเย้ายวนให้เราอยากแกล้งลืมความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไปเหมือนกัน

เหมือนกับแอ๊ปเปิ้ลผลนั้นของพระเจ้า

Thursday, May 24, 2007

ไอ้กระจอก


May 23

ไอ้กระจอก
ไอ้กระจอก
ไอ้กระจอก
ไอ้กระจอก

....บอกกับตัวเอง....

3:08 AM | Add a comment | Send a message | Permalink | Trackbacks (0) | Blog it


ปล. คัดลอกมาจาก space ของตัวเอง http://cbunnag.spaces.live.com/

chain reaction of sorrow

หมายความว่าอย่างนั้น
...
...
...
ช่วงเวลานี้ของสองปีที่แล้ว เรายังมีความสุข (ย้อนกลับไปอ่านได้ที่โพสท์แรกๆ http://bozzanova.blogspot.com/2005/05/happiness-hangover.html )
มีความสุขกับการที่ทีมรักได้ครอบครองถ้วยใบโตอันเป็นสัญลักษณ์แห่งยอดทีมของยุโรป

ปีนี้กลับกัน เรา hangover กับความทุกข์แทนความสุข
แต่มันมีของแถมเสียด้วยสิ

เริ่มจากต้นสัปดาห์ที่ได้รู้ว่าเราพลาดหวังกับสามงานที่ส่งประกวด D&AD Student Awards ไป
ผลออกมาแล้ว ทำเอาเซ็งและท้อกับความกระจอกของตัวเองอย่างหนัก
ผ่านมาสองวัน ความผิดหวังที่สองก็ตามมา
ทีมรักพ่ายในเกมนัดชิงบอลถ้วยใหญ่ของยุโรป
แพ้ทั้งๆ ที่เล่นได้ดี
ยืนดูเหล่านักเตะของทีมรักขึ้นไปรับเหรียญรองชนะเลิศ... น้ำตาเกือบไหล

มันตามๆ กันมาเป็นปฏิกริยาลูกโซ่เลย
ต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ ไม่มีหยุด

เอาเลย
จะมีอะไรมาอีก
มาเลย
เอาให้ตายกันไปข้าง

...and i'm suffering...

Friday, March 23, 2007

หนุ่มสาว หมา และ คนตาบอด ... ภาคผนวก

เกิดอาการอยากขยายความจากบทความเรื่อง "หนุ่มสาว หมา และ คนตาบอด" ที่เคยเขียนให้อ่านกันไป

...
...
...

เริ่มต้นจากที่มา...
ผมเริ่มต้นเขียน "หนุ่มสาว หมา และ คนตาบอด" โดยมีที่มาจากการที่ได้ไปอ่านบลอกของหญิงสาวผู้หนึ่ง
ในนั้น เป็นเหมือนบันทึกความรู้สึกแย่ๆ ของเธอที่มีต่อชายหนุ่มที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอ
ด้วยความเป็นคนตรง เธอก่นด่าอย่างค่อนข้างเกรี้ยวกราด ถึงความเลวของผู้ชายบางคนที่เธอได้ประสบพบเจอ
ผมจึงเกิดอารมณ์อยากเขียน "หนุ่มสาว หมา และ คนตาบอด" ขึ้นมา

ที่จริง ผมไม่ได้จะกล่าวโทษผู็หญิงฤว่าผู้ชายแต่เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
เรื่องราวความสัมพันธ์ของแต่ละคู่รัก ย่อมแตกต่างกันไป
ผมเพียงอยากสะกิดเตือนหลายใคร ที่อาจหลงลืมไปว่า ตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง
ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น จะดีจะร้าย เราต่างร่วมสร้างกันมาทั้งนั้น
หากเรายังคงเจ็บปวด นอกจากมองหาสาเหตุจากฝ่ายตรงข้ามแล้ว มันคงจะดีหากเราก้มลงมองดูตัวเองด้วย
บางครั้งมันง่ายที่จะสำรวจแต่จุดบกพร่องของฝ่ายตรงข้าม แต่ผมมั่นใจว่าปัญหาหรือความทุกข์จะถูกแก้ไขได้อย่างมีประสิทธภาพมากกว่า หากเรามองให้ทั่วๆ
ทั่วทั้งฝ่ายตรงข้าม และตัวเราเอง

นั่นคือประเด็นหลักที่ผมอยากสื่อสารออกไป
ตอนนี้ขอใช้เวลาไขข้อข้องใจสำหรับบางใครที่มา comment ไว้ใน post ดังกล่าว
อาจดูไม่มีชั้นเชิงนัก แต่ก็อยากจะชี้แจงแถลงไขให้มันกระจ่างขึ้นอีกสักนิด

๑.
ใช่ สมองและใจทำงานคนละส่วน
แต่กับความรัก บางครั้งมันก็เกาะเกี่ยวกันอยู่อย่างแยกแทบจะไม่ออก
ผมยังคงเชื่อว่า... รัก ต้องรักด้วยใจ คบ ต้องคบด้วยสมอง
หากคุณรู้ว่าคนที่คุณรัก มีแต่จะทำร้ายจิตใจ มันน่าจะถึงเวลาที่สติเข้ามามีส่วนร่่วม
ผมไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อ เพียงแต่อยากเสนอความเห็น
ไฟมันร้อน เราเลือกได้ว่าจะยืนอยู่ใกล้ไฟร้อน ฤถอยห่างออกมา
ถ้าเราเลือกที่จะยืนอยู่ใกล้ๆ ทุกครั้งที่ไฟมันแผดเผา พอเราด่าไฟ ว่าทำไมมันร้อนแบบนี้ ก็อย่าลืมนึกถึงด้วยว่า เออ เราเองที่เลือกยืนอยู่ข้างไฟ

ถ้าไม่อย่างนั้น หากอยากจะรักด้วยใจล้วนๆ จริงๆ
ก็อย่าลืมเผื่อใจไว้ให้กับความเจ็บช้ำด้วย
บ่นได้ ระบายได้
...แต่มันคงป่วยการหากจะถามว่า ทำไมต้องเจอแบบนี้ เมื่อไรจะสิ้นสุดเสียที

อันที่จริง อยากจะขอเลยเถิดไปอีกสักนิด

ทุกวันนี้ผมมีวิธีการมองปัญหาแยกเป็นตัวแปรที่ควบคุมได้ กับที่ควบคุมไม่ได้
ปัญหาส่วนใหญ่ ดีที่สุดที่เราจะทำได้ แก้ไขได้ คือตัวแปรที่เราควบคุมได้
กับเรื่องดังกล่าว หากความรักความสัมพันธ์มันย่ำแย่ เพราะผู้ชายเลวๆ
ผมคิดว่ามันยากกว่าที่เราจะไปควบคุมผู้ชายให้มันไม่เลวได้
พูดอีกนัยหนึ่งได้ว่า ผมคิดว่ามันง่ายกว่าที่เราจะควบคุมตัวเองไม่ให้"ยอม"ให้เขามาทำร้ายด้วยเรื่องเดิมๆ

๒.
ผมไม่ได้มาฟูมฟาย ร้องแลกแหกกระเฌอ ตัดพ้อถึงความไม่ยุติธรรมของโลกเบี้ยวๆ ใบนี้
ไม่อีกต่อไป
ผมอาจเคยมีความรู้สึกแบบนั้นอยู่บ้าง สมัยหนุ่มๆ ... ก็นานแล้วล่ะ
แต่ผมไม่มีความรู้สึกอย่างนี้นานแล้ว
ผมเข้าใจว่ามันอยู่ที่จิตใจ ... ใจใครก็ใจมัน ชอบแบบไหนก็แล้วแต่ใจใคร
และด้วยความผยอง เมื่อผมมั่นใจว่าผมมีดี(ถึงจะน้อยก็ตามที) ใครไม่สนใจ ผมก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน

:P

:)

...
...
...

ยังมีบางเรื่องที่อยากพูด (หลังจากได้อ่านคอมเมนท์ของหลายๆ คน จากโพสท์นั้น)
แต่เดี๋ยวเก็บไว้เป็นโพสท์นึงไปเลยดีกว่า (แต่อาจจะสั้นหน่อย)

Wednesday, March 14, 2007

บันทึกส่วนตัว ตอน: ฝันกลางคืน

เมื่อคืน...
นั่งทำงานกับไอ้พอลได้แป๊บเดียว แทบไม่ได้อะไรเลย non-productive สุดๆ ก็ออกไปดื่มที่ q bar กับเพื่อนๆ ใน class อีก 6-7 คน
จากนั้นก็ไหลไป remedies กับจอร์แดนและพอล
พร้อมด้วยทีน่า(ลูกครึ่งนอร์เวย์-เกาหลีใต้ ผู้น่ารัก และไปเยือนบางกอกมาแล้วถึงห้าครั้ง) และเพื่อนเธออีกสองคน
สนุกดี ดีเจเปิดเพลงมันมาก... เต้นกันหกคน หญิงสามชายสาม

โดนสาวขโมยจูบแก้มไปหลายที... เขิน

แรกๆ ก็แค่มากอดระหว่างเต้นๆ กันอยู่
โอเค อยู่ต่างถิ่นมาสักพักแล้ว ก็พอเข้าใจว่า ฝรั่งมันกอดกันเป็นปกติ อีกอย่างเธอกอดเราคนเดียวซะที่ไหน
แต่เรื่องมันเริ่มจากตอนหยุดเต้น พักดื่ม guinness (now brewed in dublin - ha) เธอก้มมาจูบแก้ว guinness เรา
โอเค ขำๆ รู้แล้วว่าเธอเมารั่ว ก็เลยเงยหน้ามายิ้มๆ ขำๆ ไปกับเธอ
แล้วเธอก็หันมาขยี้หัวเราเล่น ยิ้มและหัวเราะ (ตัดผมครั้งสุดท้าย ค่ำก่อนวันเดินทาง ถึงวันนี้ผมเราก็เริ่มยาวแล้ว)
โอเค ขำๆ รู้แล้วว่าเธอเมารั่ว ก็เลยเงยหน้ามายิ้มๆ ขำๆ ไปกับเธอ
ไม่กี่วินาทีถัดมา เธอรวบหัวเราไปกอด แล้วขโมยจูบแก้ม
โอเค ขำๆ รู้แล้วว่าเธอเมารั่ว ก็เลยเงยหน้ามายิ้มๆ ขำๆ ไปกับเธอ
จากนั้นก็มาเต้นกันต่อ เธอก็มาเต้นด้วยบ่อยๆ
และเธอยังคงมากอด
และเธอยังคงมาเล่นหัว
และเรายังคงโดนขโมยจูบแก้ม
และเรายังคงเขิน
เหมือนเธอยิ่งชอบ หันมายิ้ม หัวเราะ และสถานการณ์ยังคงซ้ำรอยเดิม

เรื่องของเรื่องคือเธอดันน่ารักนี่สิ ทำเอาเราฝันกลางวัน ...ไม่สิ มันดึกแล้วนี่ ...ฝันกลางคืน
ฝันมันทั้งๆ ที่หน้าตาก็จำไม่ค่อยจะได้แล้วนี่แหละ (เวลาเขินก็เป็นอย่างนี้ทุกที)
ชื่อก็ไม่รู้ ตอนที่เธอบอก เสียงเพลงมันดังเสียจนเราจับคำพูดไม่ได้

ที่เซ็งคือ แว่วๆ มาว่าเธอไม่อยู่แล้ว กลับบ้านไปเรียบร้อยโรงเรียนนอร์เวย์
แหม่ ไอ้ฝันที่มันดีๆ เราก็อยากฝันต่ออีกสักหน่อย
เสียดาย
แต่มันก็เป็นประสบการณ์แปลกๆ อีกคืน

มันก็แค่...ฝันกลางคืน

Tuesday, February 13, 2007

เอ ถึง แซด

โดน คิวว์ tag มา
แต่เป็น tag ที่ไม่เหมือนกับที่คุ้นเคย
ต้องจำใจทำ และอนุญาตตัวเองไม่ tag ต่อ เพราะไม่รู้จะไป tag ใคร
เอ๊ะ ... เอางี้ดีกว่า ใครอยากเล่นบ้าง ก็มารับไปได้เลย ถือว่าโดน tag ต่อจากผมละกัน

กติกามีอยู่ว่า
.... ว่าอะไรหว่า
ลืม เดี๋ยวกับไปดูก่อน

กติกาก็ง่ายๆ
ในเวลา 1 ชั่วโมง ให้เขียนศัพท์คำแรกที่นึกได้ทันที
ตั้งแต่ตัวอักษร A - Z ไม่ว่าศัพท์คำนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม
ห้ามโกง ห้ามคิดซ้ำเกินหนึ่งครั้ง
และถ้าจะให้สนุกยิ่งขึ้นก็วาดรูป
หรือแปะภาพที่ Search ได้จาก Google ตามชอบก็ได้
(เรื่องกติกา เฮียคัดลอกมาจากบล็อกของตี๋แบบหน้าด้านๆ เฮียขี้เกียจพิมพ์)

นี่เลยกติกา
copy & paste มาจากบลอกเจ้าคิวว์เหมือนกัน

เริ่มเลยละกัน

A - ant
b - both
C - cat
D - dog
E - elephant
F - fuck off
G - giant
H - high
i - love you
J - jelly
K - king
L - lost
M - money
N - nothing (hill)
O - opera
P - parking
Q - queen
R - ring
S - stamp
t - tob
u - i love
V - vanish
W - woman
X - x-ray
Y - y do i have to do the whole of this?
Z - Z z Z z Z

...
...
...

Friday, February 02, 2007

บันทึกส่วนตัว ตอน: ผมถูกทิ้ง

ผมถูกทิ้ง
แต่ผมไม่เสียใจ ไม่ร้องไห้ ไม่ฟูมฟาย

...
...
...

วันนี้ได้คุยกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง
ผมกับมัน เรารู้จักกันมาประมาณสิบปีได้
เรื่องมันเริ่มตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย ผมเรียนห้องหนึ่ง มันเรียนห้องข้างๆ
มันบอกว่าที่ห้องมันน่าเบื่อ วันหนึ่ง มันและผมจึงได้มารู้จักกันและกลายเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน
มานั่งนึกๆ ดู เวลามันก็ผ่านไปเร็วเหลือเกิน
สิบปีกว่าแล้ว ตั้งแต่พวกเรายังวิ่งเล่นเฮฮากันหลังเลิกเรียน สมัยมัธยมปลาย
ก่อนไปเรียนพิเศษหรือกลับบ้าน ก็แวะกิน ก๋วยเตี๋ยวดู๋ดี๋ ข้าวเย็น(และน้ำร้านป้า)ที่โรงอาหารสัตวแพทย์จุฬาฯ หรือที่อื่นๆ ในละแวกนั้น
จนมาถึงวันนี้มันและเพื่อนๆ ทุกคนในกลุ่ม มีหน้าที่การงานที่ดี มีอนาคตที่ดีกันไปหมดแล้ว (ยังเหลือแต่ผมที่ยังลูกผีลูกคนอยู่)

เดินทางย้อนกลับไปในความทรงจำ ผมพบเจออะไรสนุกๆ ชวนให้อมยิ้มอยู่มากมาย...

มันจีบสาวครั้งแรก(ฤเปล่า?)ตอน ม.4 มันก็เล่าให้ผมฟัง ผมก็ยุงยงส่งเสริมอยู่เบื้องหลัง
ผมให้ดอกไม้สาวครั้งแรก(แน่ๆ)ตอน ม.4 มันก็ยืนยุยงส่งเสียงเชียร์อยู่ข้างนอกห้อง​เรียน (พร้อมๆ กับที่เพื่อนอีกคนหนึ่งใช้ฝ่าเท้าบรรจงผลักผมเข้าไปในห้อง - เอ ผมเคยขอบคุณมันไปฤยังนะ สำหรับดอกกุหลาบที่มันและเพื่อนอีกคนไปสั่งมาให้โดยที่ผมไม่รู้เรื่อง รวมถึงเสียงเชียร์และแรงสนับสนุน)

มันอยากกินเหล้าให้เมาเป็นครั้งแรกในชีวิต(คิดว่าครั้งแรกนะ) ด้วยความคะนองในวัยหนุ่ม(ไม่เกี่ยวกับหญิงสาว) มันก็ชวนผมและเพื่อนอีกสองสามคนไปดื่มเป็นเพื่อน
ผมกินหล้าเมาเหมือนหมาเป็นครั้งแรกในชีวิต ก็คืนนั้นเอง ที่บ้านมัน (เหมือนหมาจริงๆ คลานออกไปอ้วกที่ถังขยะหน้าบ้านไม่รู้กี่รอบ)

มันเมาหนักสุดในชีวิต (ถ้าไม่ใช่ครั้งเดียว ก็ต้องเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น) ถึงขั้นจะกระโดดตึก เหตุเพราะอกหักครั้งใหญ่(ไม่ใช่จากสาวคนแรก) ผมกับเพื่อนอีกคนก็ไปอยู่ดูแลมัน คอยผลัดกันยุให้มันโดดและฉุดไม่ให้มันโดดอยู่นาน คืนนั้น เราอยู่กันถึงกี่โมงยามผมจำไม่ได้ แต่จำได้แม่นๆ ว่า ผมและเพื่อนอีกคนซึ่งเพิ่งหัดขับรถทั้งคู่และยังไม่มีใบขับขี่ ต้องจำยอมขับรถพามันไปนั่งกินเบียร์กันสามคนที่ถนนอักษะ (และความบังเอิญที่น่าขำก็คือ ในเวลานั้นเราทั้งสามไม่เคยสมหวังในความรักกันเลย ทั้งสามคนต่างก็ผิดหวังจากผู้หญิงสามคนจากโรงเรียนเดียวกัน ...เป็นส่วนผสมที่ลงตัวดีเหมือนกันแฮะ เลยคุยกันได้ยาว)
ผมเมา(ไม่หนักสุดในชีวิต) เหตุเพราะอกหักจากสาวคนเดิม ก็มักจะมีมันอยู่ร่วมวงด้วยเสมอๆ

ยิ่งช่วงหลังๆ ผมกับมันยิ่งสนิทกันมากขึ้น ด้วยความที่เรามีโอกาสเจอกันค่อนข้างเยอะกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ให้กลุ่ม
และที่สำคัญ ...เราโสดสนิทด้วยกันทั้งคู่
วันนี้ หลังจากผมมาตามหาเส้นทางชีวิตที่อังกฤษได้ประมาณสี่เดือน
ผมก็ได้รู้ว่า มันทิ้งผมไปแล้ว

ใช่... วันนี้มันมีแฟนแล้วครับ

หลังจากที่ครองตัวเป็นโสดกันมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน
สนุกสนาน เฮฮา ปรับทุกข์ แบ่งสุข ด้วยกันมาในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น การงาน ชีวิต รวมถึงเรื่องของหัวใจ
วันนี้มันตัดช่องน้อยแต่พอตัว ทิ้งผมไปแล้ว
และอาจด้วยความที่เก็บกด โหยหา มาแสนนาน จะมีแฟนทั้งที มันก็มีแบบไม่ธรรมดาเสียด้วย (อย่าคิดพิเรนทร์ เพื่อนผมมีแฟนเป็นผู้หญิง) ให้สมกับที่รอคอยมานาน

นึกแล้วก็ขำดี
มันแจ้งข่าวดีชิ้นนี้กับผม โดยใช้เวบไซท์ยอดนิยมเป็นสื่อกลาง
มันบอกใบ้ให้ผมเข้าไปดู แถมบอกว่าผมไม่เห็นเองสักที ลุ้นให้ไปเห็นเองอยู่ตั้งนาน อยากให้สะใภ้(เซอร์ไพรส์ - ฮา)

จะว่าไป นี่คือมันชิ่งหนีผมไปโดยไม่บอกไม่กล่าวชัดๆ
ทิ้งให้ผมยืนงงๆ เอ๋อๆ (ปนอิจฉา) ทำความคุ้นเคยกับความผิดหวังอยู่คนเดียว

...
...
...

ผมถูกทิ้ง
แต่ผมไม่เสียใจ ไม่ร้องไห้ ไม่ฟูมฟาย

แถมยังดีใจ(กับมัน)อีกด้วยครับ

Sunday, January 21, 2007

หนุ่มสาว หมา และ คนตาบอด

๑.
ผมเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ กับความคิดที่มันล้นออกมาจากสมองของผู้หญิงหลายๆ คน
"ผู้ชายมันเลวยิ่งกว่าหมา" "ผู้ชายเป็นเพศที่เห็นแก่ตัว" "หาดีไม่ได้หรอก ผู้ชายน่ะ" ฯลฯ สารพัดประโยคที่จะได้ยิน
ในฐานะที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ผมกลับไม่โกรธ ที่ถูกด่าอย่างเหมารวม
บางครั้งผมก็พอจะเข้าใจได้ในอารมณ์โกรธ
บางครั้งผมก็พอจะจินตนาการได้ในเรื่องร้ายๆ ที่เธออาจประสบพบเจอมา
บางครั้งผมก็พอจะยอมรับได้ในส่ิงที่เธอทั้งหลายพูดมา


๒.
ผมเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ กับความคิดที่มันล้นออกมาจากสมองของผู้ชายหลายๆ คน
"เป็นคนดีแล้วมันไม่มีใครหรอกโว้ย" "ผู้หญิงชอบผู้ชายเหี้ยๆ ว่ะ" "ผู้ชายดีๆ มันน่าเบื่อเว้ย ไม่เร้าใจ" ฯลฯ สารพัดประโยคที่จะได้ยิน
ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ผมเองก็สงสัย กับคำพูดเหล่านั้น และหลายสิ่งที่เห็นที่เป็นไป
บางครั้งผมก็พอจะเข้าใจได้ในอารมณ์รักใคร่
บางครั้งผมก็พอจะจินตนาการได้ในเรื่องราวของการปักใจรักและยอมเขาหมดทุกอย่าง
บางครั้งผมก็พอจะยอมรับได้ในความบิดเบี้ยวที่ว่าผู้ชายเลวๆ กลับได้รับความรักจากหญิงสาว


๓.
ไม่ว่ารากเหง้าแห่งความเลวของผู้ชายบางกลุ่มจะมีที่มาจากไหน
ส่วนหนึ่ง มันไม่ใช่เพราะผู้หญิงหรอกหรือ ที่ spoil ผู้ชายเหล่านั้นจนได้ใจ
เขาเลว เขาทำร้าย กลับแกล้งทำลืม ไม่ติดใจในความเลวร้ายของเขา ยังคงรักและบูชาเขาสุดหัวใจ
พร้อมด้วยข้ออ้างที่ว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่ใจอ่อน และสามารถให้อภัยได้ หากคนนั้นเป็นผู้ชายที่เขารัก

"บ้าระยำ" ...ผมสบถ


๔.
การให้อภัย สมควรถูกนำมาใช้ เมื่ออีกฝ่ายสำนึกตนเองว่าผิดจริงๆ
สำนึกว่าสิ่งที่ตัวเองได้ทำไป มันทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายมากแค่ไหน
สำเหนียกว่ามันเป็นสิ่งไม่ดี และไม่คิดที่จะทำอีก
การให้อภัย ไม่สมควรที่จะกระทำได้ง่ายๆ หรือพร่ำเพรื่อ เพียงแค่อีกฝ่ายมาออดอ้อนด้วยถ้อยคำหวาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสิ่งแย่ๆ เหล่านั้นได้ถูกกระทำซ้ำอย่างต่อเนีื่อง และเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้สำนึกอะไรในความผิดเหล่านั้น
ได้โปรด อย่าเรียกมันว่าการให้อภัย เพื่อที่จะทำให้ตัวเองเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ น่าสงสาร และน่าเห็นใจ


๕.
อาจเป็นด้วยวัย
เมื่อยังรุ่นๆ คงไม่มีใครอยากใช้ชีวิตเรียบๆ น่าเบื่อๆ ใครๆ ก็อยากสนุก อยากตื่นเต้น อยากเร้าใจ อยากผจญภัยด้วยกันทั้งนั้น
นั่นทำให้ผมพอจะเข้าใจได้ว่า ทำไมผู้ชายดีๆ หลายๆ คนที่ผมรู้จัก ถึงกลายเป็นสิ่งน่าเบื่อ ไม่เร้าใจ สำหรับผู้หญิงหลายๆ คน
และทำไมผู้ชายเลวๆ บางจำพวก ถึงได้รับความสนใจจากผู้หญิงหลายๆ คน ทั้งๆ ที่เธอก็ถูกเขาทำร้ายอย่างเจ็บปวด
แต่ในเมื่ออยากสนุก เต็มใจที่จะเข้าไปอยู่ในวงจารของความตื่นเต้นเร้าใจ
เมื่อผิดหวัง จะมาร้องแรกแหกกระเฌอเป็นเด็กๆ ไปทำไม ในเมื่อเขาไม่ได้ขู่บังคับ แต่เธอยินยอมพร้อมใจ สมัครใจที่จะเข้าไปสู่วังวนนั้นเอง

ย้อนไปหลายปีก่อน เพื่อนผมคนหนึ่ง เคยพูดด้วยอารมณ์หงุดหงิด
"ตอนเอากันก็มีความสุขด้วยกัน พอเลิกกันเสือกบอกฟันแล้วทิ้ง ห่า..."
ผมไม่ได้เห็นด้วยกับทั้งหมด แต่ผมก็พอเข้าใจได้ เพราะเพื่อนผมคนนั้นเขาก็ไม่ใช่ผู้ชายที่คิดจะหาความสุขด้วยการเอาเปรียบทางเพศจากผู้หญิง
เขาเองก็ผิดหวังไม่แพ้กัน กับความสัมพันธ์ที่ต้องจบลงไป แต่ในเมื่อมันไปด้วยกันไม่ได้ เขาเองก็ไม่มีทางเลือกมากนัก


๖.
ความรักทำให้คนตาบอด บางครั้งเหมือนจะเป็นคำพูดที่ยิ่งกว่าจริง
ไม่ใช่แค่ตา แต่ทั้งหัวใจและสมองมันพร้อมใจกันมืดบอดไปหมด
แล้วชีวิตจะดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีความสุขได้อย่างไร ในเมื่อเราปิดกั้นตัวเองจากความตระหนักรู้ในทุกอย่างแบบนี้

๗.
จะพูดไป หากผมไม่ใช่ผู้ชายที่ไร้เสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามอย่างที่เป็นอยู่
แต่กลับเกิดมาเป็นหนุ่มมากเสน่ห์ มีผู้หญิงมากมายที่สนใจ รักใคร่ ชอบพอ พร้อมที่จะแปลงร่างเป็นเจ้าหญิงตาบอดที่คอยให้ปีศาจร้ายจูงไปทางไหนก็ได้
ผมเองก็อาจโดน spoil เสียจนกลายเป็นคนที่มีความคิดแบบผู้ชายกลุ่มดังกล่าวก็ได้

...ก็ในเมื่อโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ มันเป็นแบบนี้...


๘.
ไม่ได้คิดที่จะโทษใครหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
แต่เกือบทั้งหมดของความสัมพันธ์ในโลกนี้ ผมเชื่อว่าตบมือข้างเดียวมันไม่เคยดัง
"เขาเลว" ก็เป็นส่ิงหนึ่งที่เราสมควรจะรับรู้
แต่ "เราพลาด" ล่ะ เคยคิดที่จะมองกันบ้างไหม
ในเมื่อไฟมันไหม้อยู่สองกอง แต่เรากลับมองเห็น และดับได้แค่กองเดียว แล้วชีีวิตเรามันจะหายร้อนไหม

เรารักด้วยหัวใจ แต่มันจริงไหม ที่เราสมควรจะดำเนินความสัมพันธ์แห่งรักนั้นด้วยหัวใจ... และสติ

๙.
คัดลอกมาจากเพื่อนรักคนหนึ่งอีกที

...
...
...

ลอกมาจากหนังสือ คู่มือเบื้องต้น อานาปานาสติ (ชั่วโมงแห่งความดี) ของพระอาจารย์ มิตซูโกะ คเวสโก ที่พี่ที่ผมเคารพมากคนนึงให้มา เมื่อตอนปีใหม่สองปีที่แล้ว (แต่เพิ่งจะได้อ่านเมื่อสองคืนก่อน เนื่องจากนอนไม่หลับ)

การเลือกคบกัลยาณมิตร ทำให้ไม่ติดอารมณ์

โดยปกติ จิตของเรามักจะอยู่กับเรื่องภายนอก ทั้งอดีต อนาคน สิ่งนี้ดี สิ่งนั้นไม่ดี คนนั้นดี คนนั้นไม่ดี ฯลฯ และเรามักจะปล่อยให้จิตของเราคิดไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดหย่อน

ถ้าเราประสบกับความรู้สึกที่ไม่ดี ไม่ชอบ เพราะเราได้เห็นหรือได้ยินสิ่งที่ไม่ถูกใจ เรามักจะเก็บความรู้สึกอันนั้นไว้นาน ๆ เป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน หรือเป็นปี ๆ เราจึงไม่ค่อยมีความสุขมากนักในชีวิตประจำวัน

หากเราประสบกับสิ่งที่รักที่พอใจ เรามักจะเก็บความรู้สึก และความจำนั้นไว้นาน เป็นปีเช่นกัน แต่เมื่อต้องพบว่าสิ่งนั้นไม่เที่ยง เราต้องประสบกับความพลัดพรากการเสียของรัก เราก็เป็นทุกข์อีก

ถ้าเราสามารถมีสติระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกในแต่ละขณะ หมายความว่า เราสามารถอยู่กับปัจจุบันในแต่ละขณะได้

เราจะไม่ติดอารมณ์ ไม่เก็บความรู้สึกเก่า ๆ ที่เคยสร้างความขุ่นเคือง เศร้าหมองแก่จิตใจเอาไว้ รวมทั้งไม่เก็บความจำที่เคยทำให้เรามีความสุขจนเราไม่อยากพลัดพรากจากความสุขนั้น เราจะสามารถตัดทิ้งและปล่อยความรู้สึกเหล่านั้นให้ผ่านไปได้ และในที่สุดเราก็จะสุขภาพใจดีและมีความสุขได้แน่นอน

...
...
...

Saturday, January 20, 2007

สุนทรียศาสตร์ในศิลปศาสตร์

[จากเวบหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
คอลัมน์ ตะวันตก-ตะวันออก
โดย สาโรจน์ มณีรัตน์]




...สุนทรียศาสตร์ในศิลปศาสตร์...


เป็นที่ยอมรับว่า หากผู้ใดเคยผ่านการเรียนศิลปศาสตร์มาก่อนย่อมได้เปรียบ เพราะศิลปศาสตร์ไม่เพียงเกี่ยวเนื่องกับมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์

หากยังเกี่ยวข้องและเกี่ยวเนื่องกับสุนทรียศาสตร์ด้วย

ในประเทศแถบโลกตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา มีมหาวิทยาลัยเก่าแก่หลายแห่งที่ให้นักศึกษาในระดับปริญญาตรีเรียนศิลปศาสตร์ก่อนอย่างน้อยเป็นเวลา 2 ปี

ก่อนที่จะแยกสาขาไปเรียนในสิ่งที่ตัวเองสนใจ

ฉะนั้น ตลอดระยะเวลา 2 ปี ที่เขาเรียนศิลปศาสตร์ จึงค่อนข้างครอบคลุมที่จะทำให้เขามีความเป็นมนุษย์มากขึ้น

เพราะศิลปศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำเหล่านั้น แยกย่อยให้นักศึกษาเลือกเรียนในแต่ละกลุ่มสาขา ซึ่งมีกลุ่มสาขามนุษยศาสตร์ที่เรียนเกี่ยวกับคุณภาพของความเป็นมนุษย์ อันประกอบไปด้วยสาขาวิชาภาษา วรรณคดี ปรัชญา ศาสนา ศิลปะ และดนตรี

ขณะที่กลุ่มสาขาสังคมศาสตร์จะให้ความรู้เกี่ยวกับสังคมและพฤติกรรมทางสังคมที่ประกอบไปด้วยสาขาวิชาประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา และมนุษยวิทยา

แต่สำหรับกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์จะมีสาขาวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ซึ่งมีสาขารองที่เรียนเกี่ยวกับดาราศาสตร์และธรณีวิทยารับอีกที

ดังนั้นการเรียนของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของสหรัฐอเมริกาหลายแห่งจึงค่อนข้างสอนให้นักศึกษามองเห็นลึกเข้าไปในตัวตน ว่าตนเองชอบอะไร ? ไม่ชอบอะไร ?

สนใจวิชาไหน ? และไม่สนใจวิชาไหน ?

เพราะศิลปศาสตร์ในภาษาฝรั่งคือ "Liberal Arts" ที่ไม่เพียงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับความเป็นศิลปะทุกแขนง หากยังต้องเรียนรู้เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ด้วย

ดังนั้นเมื่อเขาเหล่านั้นผ่านเบ้าหลอมทางรสนิยมศิลปะ ภาษา และวิทยาศาสตร์ ก่อนที่จะไปเรียนในสาขาที่ตนเองชอบจริงๆ เขาเหล่านั้นจึงมองเห็นความเป็นสุนทรียศาสตร์

แถมมีความรู้รอบตัวหลายแขนงด้วย !

ตรงนี้เองที่ทำให้ "ศิลปศาสตร์" หรือ "Liberal Arts" แตกต่างจาก "ศิลปศาสตร์" ในมหาวิทยาลัยของไทยในปัจจุบัน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าศิลปศาสตร์มีรากฐานมาจากภาษาละตินคือ "artes liberalis"

ซึ่งแปลว่า "pertaining to a free man" อันหมายความว่า ผู้ที่เรียนทางด้านนี้จะต้องเรียนวิชาหลัก 7 อย่างด้วยกันคือ ไวยากรณ์, ตรรกะ, เลขคณิต, เรขาคณิต, ดาราศาสตร์, ดนตรี และการพูด

ซึ่ง "สุจิตต์ วงษ์เทศ" เรียกความรู้ดังกล่าวนี้ว่า "knowledge" หรือ "องค์ความรู้" ที่จะต้องเรียนตั้งแต่ยุทธศาสตร์, คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์, ภูมิศาสตร์,เทวศาสตร์, นาฏยศาสตร์, ดุริยางคศาสตร์, โหราศาสตร์ และอื่นๆ

ทั้งนั้นเพราะศิลปศาสตร์มีความหมายเดียวกับคำว่า "สิบปะ" หรือช่างสิบหมู่ในปัจจุบันนี่เอง

ดังจะเห็นว่า ไม่ว่าโลกตะวันตก หรือโลกตะวันออก ต่อการคิดเรื่อง "ศิลปศาสตร์" นั้นมีมุมมองคล้ายๆ กัน แต่ที่แตกต่างคงเป็นรายละเอียดที่ทำให้เห็นว่าวัฒนธรรมประเพณี นั้นเป็นเส้นแบ่ง ที่ทำให้โลกทั้ง 2 ด้าน มองศิลปศาสตร์ในแง่มุมที่ต่างกัน

โลกตะวันตกอาจมองแบบรื่นรมย์ใน เงาคิด

โลกตะวันออกอาจมองความคิดบนความรื่นรมย์

แต่ทั้งนั้น ไม่ว่าโลกตะวันตก ตะวันออกจะมองอย่างไร เพราะปัจจุบันการเรียนศิลปศาสตร์ในระดับมหาวิทยาลัยของไทยกลับไม่สอนให้ผู้เรียนเกิดความคิดบนความรื่นรมย์

หรือรื่นรมย์ในเงาคิดเลย

ตรงข้ามกลับสอนให้นิสิต นักศึกษาเรียนแบบขอไปที เรียนแบบไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า หากคุณมีศิลปศาสตร์ในหัวใจ คุณจะได้ประโยชน์อันใดบ้างต่อการเรียนสาขานี้

อย่างน้อยก็เข้าใจในความเป็นมนุษย์ อย่างน้อยก็เข้าใจราก และวิธีคิดเชิงปรัชญา หรืออย่างน้อยก็ทำให้คุณดูหนัง ฟังเพลง หรือเสพรสนิยมทางศิลปะ ดนตรี วรรณกรรมอย่างรู้ราก รู้ที่มาที่ไป หรือรู้ด้วยว่าคนไทยมาจากไหน

เพราะศิลปศาสตร์ในความหมายจริงนั้น เป็นศาสตร์ที่ครอบคลุมทุกแขนง ดังนั้นหาก ผู้เรียนมีพื้นฐานทางศิลปศาสตร์ เขาและเธอเหล่านั้นจะต่อยอดไปเรียนในระดับปริญญาโท หรือเอกได้อย่างเข้าใจ

ไม่ใช่เรียนไปเพื่อต้องการปริญญา

หรือเรียนไปเพื่ออวดโฉม หรือชุบตัว เพื่อให้คนอื่นๆ ภูมิใจว่าผม ฉัน หรือเธอจบการศึกษาในระดับปริญญาโท หรือปริญญาเอก

จนมีคำนำหน้าว่าเป็นด็อกเตอร์ แต่ไม่รู้อะไรบ้างเลย ?

เพราะฉะนั้น ในเรื่องของศิลปศาสตร์จึงเป็นศาสตร์สาขาหนึ่งที่การศึกษาไทยในยุคปัจจุบันจะต้องให้ความตระหนักอย่างมาก

และอย่าไปคิดว่า "ศิลปศาสตร์" ควรที่จะมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความชำนาญทางภาษาอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้ผู้เรียนไม่มีความรอบด้านและไม่มีความรอบรู้

เพราะตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา นับจากเรียนวิชาพื้นฐานในปี 1 พอเริ่มปี 2 เขาก็แยกเอกเพื่อไปเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ ไม่ว่าจะเป็นเอกภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เกาหลี หรือจีน อะไรก็ตาม

ทั้งนั้นเพื่อหวังเพียงว่า เมื่อเรียนจบออกไปแล้ว จะต้องไปทำงานยังบริษัทฝรั่ง จีน หรือญี่ปุ่น เนื่องเพราะบริษัทเหล่านั้นให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี

แต่เขาและเธอคงลืมไปแล้วว่า แม้จะมีเงินเดือนดีขนาดไหน แต่เมื่อถึงที่สุดในจุดหนึ่ง ในจุดที่คุณต้องขึ้นมาสู่ระดับบริหารและจัดการ คุณจะต้องเข้าใจวัฒนธรรมองค์กร

เข้าใจมนุษย์

และเข้าใจด้วยว่าจะบริหารจัดการ ทรัพยากรมนุษย์เหล่านั้นอย่างไร ที่จะทำให้เขามีความสุขต่อการทำงาน

มีโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ หรือมีเงินเดือนและสวัสดิการเป็นที่น่าพอใจ

เพราะสิ่งเหล่านี้ถูกซ่อนอยู่ในการเรียนศิลปศาสตร์ทั้งสิ้น ซึ่งไม่นับรวมรสนิยมอีกเป็นจำนวนมากที่จะทำให้เขาและเธอกลายเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์

ดังนั้นคุณูปการต่อการเรียนศิลปศาสตร์จึงไม่ได้อยู่แค่ในระบบการศึกษาเท่านั้น หากผสมปนเปเข้าไปในวิถีของมนุษย์ด้วย

มนุษย์ที่มีรสนิยม

มนุษย์ที่มองเห็นความงามของมนุษย์ด้วยกัน

จนทำให้ศิลปศาสตร์กลายเป็นความงามทางสุนทรียศาสตร์ที่ดำรงคงอยู่มาจนทุกวันนี้

ทุกวันที่โลกกำลังบิดเบี้ยวขึ้นทุกวัน ?

Monday, January 08, 2007

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๐

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๐ ทุกๆ คน ที่ผ่านเข้ามาโดยตั้งใจฤไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
คงไม่สายเกินไปที่จะกล่าวคำอวยพรนะครับ...

ขอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก
โปรดจงดลบันดาลให้คุณ มีสุขภาพกายและใจแข็งแรง พร้อมที่จะดำเนินชีวิตไปตามเส้นทางที่เลือกเดิน
และโปรดจงดลใจให้คุณ คิดแต่สิ่งที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดี เพื่อความสุขของคุณและคนรอบข้างที่คุณรักและรักคุณ

...
...
...

คืนวันปีใหม่ที่ผ่านมา ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ของผมเอง
กับการนับถอยหลังเข้าสู่ศักราชใหม่ นอกแผ่นดินเกิดเป็นครั้งแรก

ผมเดินทางเข้าสู่ลอนดอนก่อนหน้าคืนปีใหม่สองวัน
เพื่อเจอเพื่อนรักคนหนึ่งที่เดินทางมาจากเมืองไทย และเพื่อฉลองปีใหม่ที่ลอนดอนไปในตัว
คืนปีใหม่ ผม เพื่อน แฟนเพื่อน และเพื่อนของแฟนเพื่อน และเพื่อนของเพื่อนของแฟนเพื่อนอีกมากหน้าหลายตา ออกไปยืนดูการฉลองปีใหม่ท่ามกลางผู้คนและอากาศอันหนาวเหน็บที่กลางสะพานเวสมินสเตอร์ (Wesminster Bridge)
พวกเราออกจากที่พักของใครสักคนซึ่งอยู่บนตึกตรงลอนดอนอาย (London Eye) ตั้งแต่สามทุ่มกว่า เนื่องจากรู้ดีว่า หากออกช้า เส้นทางอาจถูกปิดกั้นโดยตำรวจหรือความแน่นขนัดของผู้คน จนไม่สามารถไปให้ถึงยังจุดหมายได้
หลังจากเดินมาจนถึงจุดที่คาดว่าสามารถชมการเฉลิมฉลองได้ดีและทั่วถึง พวกเราต้องยืนรอกันอีกกว่าสองชั่วโมง
ลอนดอนอายตอนกลางคืนมีการประดับด้วยไฟซึ่งเปลี่ยนสีสันไปเรื่อยๆ
ตึกข้างๆ ลอนดอนอาย ถูกใช้เป็นฉากสำหรับการฉายภาพต่าง สลับกันไปในระหว่างรอเวลา และรวมไปถึง ตัวเลขบอกเวลานับถอยหลังในการก้าวเข้าสู่ปีใหม่
ยิ่งดึก ผู้คนยิ่งแน่นมากมาขึ้น และคึกคักกันมากขึ้น
พอได้เวลา ทุกคนพร้อมใจกันนับถอยหลังตามตัวเลขที่ถูกฉายลงบนตึก
(ตอนนับ 5 4 3 2 1 ผมตะโกนนับเลขเป็นภาษาไทย ใครได้ยินคงงงว่า ไอ้กะเหรี่ยงนี่มันตะโกนอะไรของมันวะ ....เหตุผลก็คือ ผมตื่นเต้นจนนับเป็นภาษาอังกฤษไม่ถูก)

ช่วงเวลานับสิบนาทีแห่งการเฉลิมฉลอง นับเป็นภาพประสบการณ์ที่น่าจดจำ
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยพลุที่ถูกจุดขึ้น โดยมีลอนดอนอายเป็นฉาก (รวมถึงพลุบางชุดก็ถูกจุดออกมาจากตัวลอนดอนอายเอง) สวยงาม ยิ่งใหญ่ อลังการ จริงๆ

...แต่ ณ เสี้ยวหนึ่งของช่วงเวลานั้น ใจผมลอยกลับไปยังแผ่นดินเกิด

ค่ำคืนนั้นน่าจดจำ ผมไม่ปฏิเสธ และหากให้เลือกได้ ผมก็อยากได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์และบรรยากาศนั้นสักครั้งหนึ่งในชีวิต
แต่... แค่ครั้งเดียวก็คงเกินพอ
ณ ขณะหนึ่ง ผมน้ำตารื้นด้วยความคิดถึงทุกคนที่ผมรัก ครอบครัว พ่อ แม่ พี่สาว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงอันเป็นที่รัก
แน่นอน แสงสว่างและความร้อนจากพลุที่ถูกจุด(ซึ่งสัมผัสไม่ได้หรอก เพราะอยู่ไกลเกินไป) จะไปสู้ความอบอุ่นจากบุคคลอันเป็นที่รักได้อย่างไร

...
...
...

ณ อีกเสี้ยวเวลาหนึ่ง ผมนึกถึงบางเรื่องราวของชีวิต
ผมคิดอยากให้พลุเป็นเหมือนกับเสียงปืนให้สัญญาณเริ่มต้นการแข่งขัน
เพียงแต่นี่ไม่ใช่การแข่งขัน แต่เป็นสัญญาณให้ผมเริ่มต้นก้าวเดิน ออกเดินทางไปตามวิถีที่มันควรจะเป็นไป
มันไม่ง่าย แต่ผมหวังว่าผมจะทำได้ดี
เช่นกัน... หลังจากความเจ็บช้ำกับชีวิตบางด้าน ผมขอให้มันเป็นสัญญาณเริ่มต้นของสิ่งดีๆ ในชีวิตของเธอ ขอให้เธอมีความสุข (เธอคงไม่ได้เข้ามาอ่าน)

และทุกๆ คนที่เข้ามาอ่านงานเขียนของผมด้วยนะครับ ขอให้มันเป็นสัญญาณเริ่มต้นของสิ่งดีๆ ใครอยากทำอะไร แต่ยังไม่ได้ทำ ก็ถือโอกาสนี้เป็นนิมิตหมายที่ดีก็แล้วกันนะครับ

สวัสดีปีใหม่ครับ