Wednesday, December 27, 2006

คนเราต้องการอะไรจากความรัก

มีรุ่นน้องคนนึงถามมาหลังไมค์ว่า ทำไมไม่อัพเดทบลอก
เราตอบกลับไปว่า ยังไม่มีอารมณ์
ด้วยบางเรื่องราว มันส่งผลให้เราไม่อยากอัพเดทบลอก
อัพเดทไป ก็มีแต่เรื่องน้ำเน่าๆ เดิมๆ ของตััวเอง
เรื่องราวมันไม่ได้สาระสำคัญอะไรสำหรับใครๆ เดี๋ยวเขาจะพาลเบื่อรำคาญกันเปล่าๆ

รุ่นน้องคนเดิมบอกว่า นี่มันบลอกพี่ พี่อยากจะบันทึกอะไรก็เรื่องของพี่
ใครมาด่าก็ช่างมัน ไม่อยากอ่านก็ไม่ต้องอ่าน ไล่ไปไกลๆ

มันทำให้เราฉุกคิดถึงเรื่องราวในตอนเริ่มต้นของบลอกนี้ได้ว่า
จุดประสงค์ที่เราเริ่มต้นมีบลอกกับเขาบ้าง ก็คือการที่เราอยากฝึกเขียน ด้วยความฝันลมๆ แล้ง ...ไกลๆ ... ว่าอยากเป็นนักเขียนในสักวันหนึ่ง
และแน่นอน เราเองก็อยากบันทึกความคิดของตัวเองในช่วงเวลานั้นๆ ของชีวิตไว้

...แล้วเราก็เริ่มลงมือเคาะแป้นพิมพ์


...
...
...


หากใครสักคนมีความรักดีๆ ให้กับใครอีกคน
มันจะทำให้ใครอีกคนที่ว่า รู้สึกดี และพัฒนาไปจนมีความรักให้กลับไปได้ไหม?
ความรัก มันเกิดเพราะอะไร และมันเริ่มต้นจากที่ไหนกัน?

ในมุมหนึ่งของโลกส่วนตัว เรากำลังเริ่มรู้สึกและตั้งคำถามกับตัวเองว่า
เมื่อรักจริงที่มี ที่ทำให้ได้เห็นได้รับรู้ มันไม่ได้ทำให้ใครตอบรักกลับมาได้ แล้วเราจะมีรักจริงให้ใครไปทำไม...
ผู้หญิงเขาต้องการอะไรจากความรักกัน?

หรือเราแค่มองหาใครๆ ที่ถูกใจ ยังไม่ต้องศึกษาลักษณะนิสัยอะไรกันมากมาย
แล้วก็รอดูว่าใคร ที่จะถูกใจเรากลับมาในรูปแบบเดียวกัน ...เพียงแค่นั้น
แล้วความสัมพันธ์ของฉันและเธอจึงค่อยเริ่มต้นขึ้น
คบกันแล้วมีความสุข คบกันได้ก็คบ
คบกันแล้วไม่มีความสุข คบกันไม่ได้ จะเอาอย่างไรก็ว่ากันไป

คิดๆ ไป มันก็ดูง่ายดี
ไม่ต้องไตร่ตรองอะไรมากมาย ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ
ไม่ต้องจริงจัง ไม่ต้องคาดหวัง

...ไม่ต้องเสียใจ...

พูดแค่นั้น มันก็ดูเหมือนเราเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อย
เพราะตอนนี้ หากย้อนถามตัวเองว่า
หากมีใครสักคนเดินเข้ามามอบความรักดีๆ ให้กับเรา
เหมือนๆ กับที่เรา เคยมอบให้กับใครคนนั้น
เราจะรู้สึกดี และพัฒนาไปจนมีความรักกลับไปให้ได้ไหม
ด้วยอารมณ์และความรู้สึกในตอนนี้ ...เราเองก็ยังตอบไม่ได้

คำถามที่ยังคงเกิดขึ้น ทุกครั้งที่จมอยู่กับความคิด กับเรื่องนี้
เราก็ยังคงหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
ใครต่อใคร ก็ยังไม่สามารถให้คำตอบที่เรารู้สึกยอมรับได้
และมันอาจไม่มีคำตอบสำหรับเราเลยก็เป็นได้

...คนเราต้องการอะไรจากความรัก...

Wednesday, November 29, 2006

....คำถาม....

....คนเราผลิตน้ำตาได้มากมายแค่ไหนกัน
ต้องร้องไห้สักเท่าไร น้ำตามันถึงจะหมดไป....




เราจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปด้วยความรู้สึกแบบไหน?

เราจะรักใครมากมายจนสุดหัวใจแบบนี้ได้อีกไหม?

เราจะมีความสุขอย่างเต็มที่ได้อีกไหม?




คำถาม

ที่ไม่เคยมีคำตอบ


....
....
....
....





Wednesday, November 08, 2006

"We all hunger for a touch" - [2]

...มันไม่จบ...

...
...
...

ผมนั่งดูคลิปวีดีโอ free hugs หลายรอบ
(ถ้าใครเพิ่งมาอ่าน แล้วงงว่าคืออะไร โปรดย้อนกลับไปอ่าน บทความก่อนหน้า)
สี่ห้ารอบที่ห้องเรียน และอีกหลายรอบที่ห้องพัก
ความรู้สึกไม่ได้ลดลงเลยสักนิดเดียว
กลับกัน ที่ดูในห้องพัก คราวหนึ่งน้ำตาผมไหลเลยทีเดียว

...ผมเหงา...

...
...
...

ยิ่งดู ผมยิ่งคิดว่า ผู้คนสมัยนี้ที่ถูกรายล้อมด้วยความเจริญทางวัตถุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามเมืองใหญ่ต่างๆ ในโลกนี้ ต่างก็ hunger for a touch กันทั้งนั้น
เราต่างดำเนินชีวิต ขวนขวายให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ
ด้วยเหตุที่มันจับต้องได้ หลายครั้งความต้องการของเราจึงโอนเอียงไปทางด้านวัตถุเสียมากกว่า
หลายครั้ง เราอาจละเลยความต้องการในสิ่งที่เป็นนามธรรมไป ...นามธรรมที่อาจจับต้องไม่ได้ แต่ผมมั่นใจว่าเรา"สัมผัส"มันได้
จนเมื่อรู้สึกตัวอีกที เราต่างก็รู้ว่า เราต้องการ"สัมผัส"จากส่วนลึก
เราต้องการ"สัมผัส"จากใครสักคน ฤอาจจะหลายคน มาโอบกอด เพื่อให้เรามีแรงก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางชีวิต ที่หลายครั้งเราเฝ้าถามตัวเองว่า จุดหมายอยู่หนใด
บางครั้ง แม้จะไม่มีคำตอบ ไม่มีจุดหมายให้กลับปลายทาง แต่เราคงจะสามารถเดินทางต่อไปด้วยกำลังใจเต็มเปี่ยม ด้วย"สัมผัส"จากใครหลายคน

...do u hunger for a touch?...

"We all hunger for a touch"

we all hunger for a touch





ผมไปเจอคลิปวีดีโอนี้มาจากบลอกของรุ่นพี่คนหนึ่ง http://bact.blogspot.com/
ระหว่างนั่งดู ผมขนลุก น้ำตาซึม
ด้วยเพลงประกอบที่ช่วยดึงอารมณ์
ด้วยการตัดต่อที่ลงตัว(โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้ภาพขาวดำในช่วงแรกที่ยังไม่มีการโอบกอด มันดูเหงาชะมัด)
มันทำให้ผมเหงา

ระหว่างดู ผมนึกถึงหนังเรื่อง crash ที่ผมไปดูกับเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมต้นด้วยกันคนหนึ่ง
เราทั้งสองชอบหนังเรื่องนี้มาก
มีประโยคหนึ่งที่อยู่ในหนังเรื่องนี้ ที่ผมนึกถึงขึ้นมา ระหว่างดูคลิปวีดีโอนี้
ตัวละครตัวหนึ่งพูดว่า "We all hunger for a touch."
(ฤอะไรแถวๆ นี้ ...ขอโทษหากผมจำมาผิดๆ)

ผมรู้สึกว่า เราต่างก็โหยหาสัมผัส จริงๆ
We all hunger for a touch

ดูเสร็จ ผมส่งอีเมลหาเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ผมสนิท และนึกถึงจริงๆ
ผมส่ง link ให้ทุกคนดู
ผมลงท้ายอีเมลว่า ผมอยากกอดทุกคน
และผมหมายความอย่างนั้นจริงๆ จากส่วนลึก

...ผมโหยหา การโอบกอด
I do hunger for a hug...

Friday, November 03, 2006

"actions speak louder than words"

ตอนนี้ผมมาเรียนที่เมือง Falmouth ประเทศอังกฤษ
ผมทำงานพิเศษ เป็นเด็กเสิร์ฟ
ผมตั้งใจทำงาน ช่วยงานทุกอย่างเท่าที่จะช่วยได้
ไม่ใช่แค่เสิร์ฟอาหาร ผมยังช่วย เตรียมอาหารจำพวก starter, เตรียมภาชนะ, เช็ดจาน, เช็ดช้อน ฯลฯ ตามแต่จะช่วยได้ และเขาต้องการให้ช่วย
ผมอยู่เกินเวลาที่ทางร้านจ้างผมเสมอ อยู่ช่วยทำโน่นทำนี่ต่อ (เพราะร้านปิดห้าทุ่ม แต่ลูกค้ามักจะนั่งอยู่เกินห้าทุ่มเสมอๆ) ทั้งๆ ที่ พี่เจ้าของร้านเขาก็บอกว่า พอได้แล้ว กลับได้แล้ว
แต่แหม... พี่ๆ เขาใจดีกับผมเหลือเกิน ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ ทำไมผมจะทำไม่ได้ ทำให้ฟรีด้วย ไม่ได้เงินค่าล่วงเวลา
อีกอย่าง มันก็รู้สึกว่า นี่งานของเรา อีกนิดเดียวเอง ทำๆ ไปเถอะให้เสร็จ
เขาดีกับเรา เราก็ตั้งใจทำงานและช่วยแบ่งเบาภาระเขาเป็นการตอบแทน(เท่าที่พอจะทำได้ตอนนี้)
(ต่างกันกับฝรั่ง ...มีอยู่คนหนึ่งที่ทำงานที่นี่เหมือนกัน พอถึงเวลาปุ๊บ เก็บของกลับบ้านปั๊บ และตอนเวลาที่ทำงาน ก็ไม่ช่วยทำอะไรเลย นอกจากนำอาหารไปเสิร์ฟอย่างเดียว
ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาก็ถือว่า เขาถูกจ้างมาเป็นเด็กเสิร์ฟ เขาก็แค่เสิร์ฟ เขาถือว่าเขาถูกจ้างแค่่ช่วงเวลานั้นๆ เขาก็ทำแค่นั้น
วัฒนธรรมที่ต่างกันคงเป็นสาเหตุ ...แต่ผมชอบแบบไทยๆ มากกว่า อย่าว่ากันนะ)
บางวันผมไม่ได้ทำงาน แต่พี่ๆ เขาชวนไปหา ไปคุย ไปกินข้าวกัน
ผมไปหา ก็ไปช่วยเสิร์ฟ ช่วยโน่น ช่วยนี่ เล็กๆ น้อย
เขามีน้ำใจมา เราก็มีน้ำใจตอบ

วันนี้ หลังจากลูกค้าโต๊ะสุดท้ายกลับ
พี่เจ้าของร้านหยิบเงินออกมาให้ผมเหมือนปกติ (ผมได้รับค่าจ้างเป็นเงินสด ทุกวันที่ไปทำงาน)
ที่ต่างไปคือว่า พี่เขาบอกว่า เขาขึ้นค่าจ้างให้ผม เป็นชั่วโมงละหกปอนด์ (จากเดิม ห้าปอนด์)

ผมดีใจ

ไม่ใช่แค่การได้เงินเพิ่ม เพราะที่ได้อยู่เดิม ผมก็พอใจอยู่แล้ว ไม่ได้เคยคิดว่าจะขอ ฤว่าอยากได้เพิ่ม
ทั้งๆ ที่ผมเองก็รู้ว่า เพื่อนฝรั่งอีกคนที่ทำอยู่ เขาได้ค่าจ้างมากกว่าผม
ก็ในเมื่อผมพอใจกับค่าแรงที่ผมได้แล้ว ผมจะต้องไปสนใจ เดือดเนื้อร้อนใจที่ผมได้น้อยกว่าเพื่อนร่วมงานทำไม... จริงไหม?
ไม่ได้สร้างภาพ... แต่เมื่อผมพอใจในส่่วนของผมเองแล้ว ผมจะไปริษยาเพื่อนร่วมงานให้ตัวเองเป็นทุกข์ทำไม... จริงไหม?

ที่ดีใจไปกว่านั้น ก็เป็นเพราะว่า
ความตั้งใจในการทำงาน ความรู้สึกของผมที่คิดอยู่เสมอว่า อยากทำงานตอบแทนน้ำใจที่เขาให้มาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทุกอย่างเหล่านี้ มันน่าจะส่งผ่านไปจนถึงพวกพี่ๆ เขาแล้ว
โดยไม่ต้องปริปากพูด ว่าผมทำโน่นทำนี่เยอะแยะ ว่าผมทำเกินเวลาเสมอๆ
...ผมให้การกระทำพูดแทน...

...
...
...

ผมนึกถึงเพลงหนึ่งของ Nirvana หนึ่งในวงโปรดของผม
ท่อนหนึ่งในเพลง plateau จากอัลบั้ม unplugged in new york เนื้อร้องมีอยู่ว่า
"who needs action when you got words."
ซึ่ง(ผมคิดเองเออเองว่า) ผู้แต่ง คงต้องการจะประชดประชัด แดกดัน
และในโลกปัจจุบัน น่าเศร้าที่หลายๆ ครั้ง มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
แต่วันนี้ ผมได้พิสูจน์ความเชื่อบางอย่างของตัวเอง ว่ามันยังเป็นจริง และใช้ได้อยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย

...การกระทำ สำคัญกว่าคำพูด...

Sunday, October 29, 2006

"รสนิยม"

วันนี้ผมมีความสุข ที่ได้ลองเดินตามทางที่เป็น"รสนิยม"ของตัวเอง
แม้มันจะดูเสี่ยง แต่ผมตัดสินใจเดิมพันกับความเสี่ยงนั้น
เปล่า ผมไม่ได้บ้าบิ่น ...แม้จะต้องยอมรับว่ามันมีความเสี่ยงอยู่ แต่ผมคิดทบทวนเป็นอย่างดีแล้ว
รวมถึงความโชคดีที่ผมมีคนแนะนำและช่วยเหลือ ...เรียกว่าเป็น contact/connection ที่ดีมากเลยก็ได้
(ใครก็ได้ช่วยคิดคำในภาษาไทยให้ผมที แทนคำว่า contact/connection นี้ ...หงุดหงิดตัวเองที่ไม่สามารถคิดออกมาได้ในขณะนี้)
ทำให้ผมพอจะมองเห็นว่า เส้นทางนี้ มันก็ไม่ตีบตันเสียเท่าไร
กลับกัน โอกาสที่ผมมี อาจจะนำพาผมไปสู่ปลายทางที่ผมพอใจได้ไม่ยาก

หลายครั้ง ผมอยากให้คนที่ผมรู้จักคุ้นเคย ได้สัมผัสกับความสุขที่ได้เดินทางไปตามความต้องของตัวเอง
ผมแนะนำ กระตุ้น ให้กำลังใจ กับหลายใครที่เคยมาขอความเห็นจากผม ถึงสิ่งที่จะเลือกทำ ถึงทางที่จะเลือกเดิน
ผมชูสุดสองแขน สนับสนุนให้เดินไปตามทางที่ตัวเองต้องการ
เพราะผมเอง เคยสั่นไหว เมื่อหลายใครบอกว่า คิดดีแล้วหรือ ที่จะละทิ้งสิ่งที่มั่นคงและเห็นอนาคตที่ดีรออยู่ แล้วเปลี่ยนเส้นทาง เดินไปบนเส้นทางที่ไม่รู้ว่ามันจะพาผมไปได้ไกลแค่ไหน
แต่ด้วยความเห็นจากหลายคนที่บอกว่าเป็นการตัดสินใจที่หาญกล้า (รู้ไหม? ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนต่างชาติ) ผมอยากจะขอบคุณเขาเหล่านั้น
เปล่าผมไม่ได้ตัวลอยพระคำชม ...เพียงแต่มันเป็นกำลังใจที่ดีมากๆ ในการเดินทางบนเส้นทางใหม่ครั้งนี้
ผมเองจึงอยากเป็นกำลังใจให้ใครต่อใครบ้าง หากเขากำลังรวบรวมความกล้า ออกเดินทางบนหนทางใหม่ที่ไม่ได้คุ้นเคยหรือรู้จักเป็นอย่างดี
อยากบอกเขาเหล่านั้นว่า การได้เดินตามเสียงของหัวใจตัวเองนั้น เป็นความสุข
ผมค้นพบ หลังจากเลือกเดินตามเสียงของหัวใจผมเอง

แต่...
บางคน ก็ยินดีที่จะเลือกเส้นทางเดินของตัวเอง ตาม"รสนิยม"ของสังคม
หากสังคมยอมรับ ว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนี้ควร เขาเหล่านั้น ก็พร้อมที่จะเดินไปตามเส้นทางนั้น
เอ... ฤนั่นคือความสุขของเขา ที่ได้เป็นส่วนหนึงของ "รสนิยม" ของสังคม
เพราะความสุขของบางใคร อาจหมายถึงการได้ที่เป็นยอมรับของคนในสังคมก็เป็นได้

...เพราะ"รสนิยม"ของเราอาจไม่เหมือนกัน...

Saturday, October 28, 2006

"sorrow'



ได้รูปนี้มาเมื่อวานนี้
เห็นแล้วผมชอบมาก ตั้งชื่อให้มันว่า "sorrow" และใช้มันเป็น wallpaper/background ของหน้าจอคอมพิวเตอร์ laptop ของผมเครื่องนี้
มันชวนให้ผมนึกถึงบางอารมณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวผม

เชื่อไหม... บางชั่วขณะ เห็นมันแล้วผมอยากร้องไห้

คำถามที่เกิดขึ้นในใจ...
...ผมจะอยู่ในห้วงอารมณ์ "sorrow" แบบนี้อีกไหม?
...ในห้วงอารมณ์นั้น(หากมี) ผมจะรับมือกับมันได้ดีแค่ไหน?

...ผมไม่กล้าตอบตัวเองจริงๆ...

บันทึกงี่เง่า บรรเทางุ่นง่าน [27 ตุลาคม 2549]

วันนี้ ผมไปทำงาน(เป็นพนักงานในร้านอาหาร)ตามปกติของชีวิตผมที่เมือง Falmouth นี้ (ทำงาน พุธ ศุกร์ เสาร์, หนึ่งทุ่มถึงห้าทุ่ม)
ในร้านอาหารทีี่ผมทำงานอยู่ มีคนไทยอยู่ด้วยกันทั้งหมดห้าคน นับรวมตัวผมเองด้วย

นอกจากตัวผมเอง ก็มีพี่เจ้าของร้านหนึ่ง(สามีเป็นคนอังกฤษ) พี่ๆ คู่สามีภรรยาที่ช่วยกันทำอาหาร(สามีเป็นพ่อครัว ภรรยาเป็นผู้ช่วย)อีกสอง และพี่คนไทยที่แต่งงานกับสามีชาวอังกฤษแล้วมาอยู่ที่เมืองนี้อีกหนึ่ง(ตามที่พี่เขาบอก เขามาทำงานแก้เบื่อ)
พี่เจ้าของร้านใจดี เป็นกันเอง ชวนให้ผมไปกินข้าวที่ร้านบ่อยๆ
(ความจริง เขาบอกให้ไปกินทุกวันได้เลย จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อ... แต่ผมเกรงใจ นอกจากวันที่ทำงานแล้่ว ผมก็แวะไปฝากท้องบ้างในบางครั้งคราว แต่ไม่ได้ไปทุกวันตามคำชวนของพี่เขา)
พีๆ คู่สามีภรรยา ก็ใจดี ให้ความเอ็นดูผม ทั้งสองคนดูเป็นคนซื่อๆ ทั้งคู่... ก่อนมาที่นี่ เพื่อนหลายคนเตือนผมว่า ถึงจะเป็นคนไทยด้วยกันก็อย่าไว้ใจ
ผมรับรู้และเข้าใจ... แต่จากที่รู้จักกันมาประมาณหนึ่งเดือน ผมว่าเขาทั้งคู่ไม่มีพิษภัยจริงๆ
พี่อีกคนหนึ่งทีเหลือ เป็นคนที่ผมไม่ค่อยถูกชะตาด้วยนัก จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผมรู้สึกลึกๆ ว่าเขาไม่ใช่คนจริงใจนัก และยังมีบุคลิก รวมถึงนิสัยหลายๆ อย่าง ที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไร จึงไม่ได้อยากไปข้องเกี่ยวอะไรมากนัก นอกจากเวลาไปเจอก็พูดคุยหัวเราะกันตามปกติ
และพี่คนนี้ก็เป็นที่มาของบันทึกในวันนี้

...
...
...

ที่ร้านอาหาร มีนักศึกษามาทำงานพิเศษเหมือนกันกับผมอีกหนึ่งคน เป็นชาวญี่ปุ่น ...จนถึงวันนี้ เธอเพิ่งจะเริ่มงานได้สามสัปดาห์
เธอเองยังคงทำงานไม่คล่อง และมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง แต่นั่นคงเป็นเพราะความใหม่ต่องานประการหนึ่ง
รวมถึงความจริงที่ว่าเราไม่ได้พูดจาภาษาเดียวกัน จึงทำให้ในหลายครั้งเธอก็ไม่ได้แสดงประสิทธิภาพในการทำงานอย่างที่ถูกคาดหวัง
ถึงอย่างนั้น หากตัดความจริงทั้งสองข้อนั้นออกไป เธอเองก็ดูจะเงอะงะ และขาดไหวพริบอยู่เหมือนกัน
(จนบางครั้งผมแปลกใจว่า ก็ในเมื่อเธอเคยทำงานเป็นบริกรในห้องอาหารที่รับจัดเลี้ยง - ถึงแม้จะต่างกันตรงที่ว่า ห้องอาหารที่รับจัดเลี้ยง อาหารจะถูกสั่งไว้ล่วงหน้า และทุกอย่างจะถูกเตรียมการไว้หมดแล้ว ซึ่งง่ายกว่าการทำงานในร้านอาหารตามปกติแบบนี้ - เธอน่าจะทำงานได้คล่องกว่านี้)
ผมเริ่มได้ยินพี่ที่เป็นผู้ช่วยพ่อครัวพูดถึงการที่เธออาจจะไม่ผ่านการทดลองงาน (พี่เขาก็อยากช่วย แต่ก็จนใจ เนื่องจากข้อจำกัดในเรื่องภาษาของพี่เขา)
อย่างไรก็ตาม ผมก็รู้สึกว่า เธอมีความตั้งใจในการทำงานอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ส่วนเรื่องความสามารถความเหมาะสม ก็ปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของพี่เจ้าของร้านไป

วันนี้... ขณะกำลังทำงาน ผมได้ยินพี่คนที่ผมไม่อยากข้องเกี่ยวด้วยนัก บ่นออกมาดังๆ ให้ทุกคนฟัง ถึงความผิดพลาดของนักศึกษาญี่ปุ่นคนนั้น
ได้ยินแล้วผมรู้สึกแย่... พี่คนนี้มักจะเป็นอย่างนี้เสมอ ยกหางตัวเองก็หนึ่ง เอาความผิดพลาดของคนอื่นมาตอกย้ำอีกหนึ่ง
ผมรู้สึกว่า ทุกสิ่งที่พี่เขาทำนั้น เป็นความต้องการที่จะทำให้ตนเองดูมีคุณค่า มีคุณภาพ ในสายตาของทุกๆ คนในร้าน
ทั้งๆ ที่ ผมเองกลับรู้สึกว่า ตัวพี่เขาเองนั่นแหละ ที่ไม่เหมาะจะมาทำงานบริการ ในเมื่อเขาไม่ได้มีสำนึกใน "service mind" ในระดับที่ควรจะมี(ตามความคิดของผม)

ผมเบื่อคนแบบนี้จริงๆ

...
...
...

แน่นอน ในหน้าที่การงาน ใครๆ ก็อยากก้าวหน้า อยากให้ทุกคนเห็นว่า ตนเองมีประสิทธิภาพ
เพียงแต่ วิธีการที่ผมเชื่อมั่น ก็คือ การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ต้องคิดว่าจะแข่งกับใคร นอกจากตัวเอง และตัวงาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องไม่จงใจเหยียบคนอื่น เพื่อให้ตัวเองขึ้นไปสู่ที่สูงอย่างที่ต้องการ

ความก้าวหน้าของเรา ในทางกลับกัน มันก็อาจเป็นความตีบตันสำหรับคนอื่นได้
เพียงแต่นั่นคือความจริงของระบบที่ผมคิดว่าเราต้องยอมรับ ...ยอมรับในความสามารถและอะไรหลายๆ อย่าง

มันถูกแล้วหรือ ที่เราพยายามตอกย้ำในความผิดพลาดล้มเหลวของเพื่อนร่วมงาน
เพียงเพื่อจะใช้เขาเป็นฐานให้เราเหยียบ เพื่อความก้าวหน้าของเราเอง

ผมเกลียดคนแบบนี้จริงๆ

...
...
...

มันจะดีกว่าไหม หากเราต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานในความรับผิดชอบของเราให้ดีที่สุด แสดงศักยภาพ ประสิทธิภาพของเราออกมาให้มากที่สุด
แล้วเรื่องของความก้าวหน้า ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่การตัดสินใจของผู้ที่อยู่ในสายการบัญชาที่เหนือกว่า
มันจะดีกว่าไหม หาเราต่างก็ยอมรับในหความก้าวหน้าของผู้อื่นหาเขามีประสิทธิภาพมากกว่า
และจะดียิ่งไปกว่านั้น หากเรายินดีในความสำเร็จที่เขามี
เพราะสุดท้าย ลาภ ยศ สรรเสริญ มันก็เป็นเพียงสิ่งที่ลวงตาทั้งนั้น
เราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สงบ และไม่เบีียดเบียนกัน จะดีกว่าไหม?

...make it a fair game...

Wednesday, October 18, 2006

บันทึกงี่เง่า บรรเทางุ่นง่าน [17 ตุลาคม 2549]

จะทำยังไงดีวะ?

ความกลัวเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มรู้สึกว่า ทักษะภาษาอังกฤษที่มี มันไม่พอสำหรับการเรียนรู้ครั้งใหม่นี้ซะแล้ว
(ไอ้ผลสอบ IELTS ที่บอกว่าเราอยู่ในระดับ 7 มันไม่เห็นจะวัดอะไรได้เลย มันเชื่อถือได้ไหมนี่?)
กว่าจะพัฒนาให้ดีขึ้น ดีขึ้น... ไม่รู้เมื่อไร... เมื่อไรถึงจะดีพอ ดีพร้อม
ไม่รู้จะพลาดอะไรไปมากมายแค่ไหน

จะทำยังไงดีวะ?




ปล.

"บันทึกงี่เง่า บรรเทางุ่นง่าน" เป็นหัวข้อที่ผมคิดขึ้นมา เพื่อใช้ในการบันทึกความรู้สึกในบางชั่วขณะของชีวิต
ครับ มันเป็นบันทึกเรื่องราวงี่เง่าๆ ของตัวผมเอง
แต่ผมต้องการเนื้อที่ระบายออก เพื่อที่จะบรรเทาความรู้สึกงุ่นง่านบางอย่างจากข้างใน
ทนๆ อ่านความงี่เง่าๆ ของผหน่อยละกันครับ
ถ้าทนไม่ได้ ก็กรุณาข้ามไป เมื่อเห็นชื่อหัวข้อนี้

dependent - independent - interdependent

[คัดลอกมาจาก http://theaestheticsofloneliness.blogspot.com/ อีกที]

"ตอนต้นปีที่ผ่านมา ผมได้ไปสัมภาษณ์วิศิษฐ์ วังวิญญู เรื่องหนังสือเล่มใหม่ของเขา ที่ชื่อว่าสุนทรียสนทนา
เขาพูดไว้ประเด็นหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก เขาบอกว่าชีวิตคนเรามีพัฒนาการอยู่ 3 ขั้น
คือ dependent - independent - interdependent
เริ่มต้นจาก dependent ที่ในวัยเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงช่วงปฐมวัย เรายังต้องพึ่งพาอาศัยการเลี้ยงดูและความมั่นคงทางจิตใจจากพ่อแม่ ครูอาจารย์
พอเข้าสู่ขั้น independent คือในช่วงวัยหนุ่มสาว ที่เราจะต้องพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง ยืนหยัดใช้ชีวิตให้ได้ด้วยตัวเอง แสวงหาอุดมคติของความเป็นปัจเจกชน และทนต่อความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา
เมื่อเราอยู่ได้อย่าง independent จึงเข้าสู่พัฒนาการขั้นที่ 3 คือ interdependent ชีวิตที่แข็งแกร่งมั่นคง ตัวตนที่เต็มเปี่ยม ไม่ได้ขาดพร่องจนต้องรอผู้อื่นมาเติมเต็ม และยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง
ในขั้นนี้ เราจึงจะเป็นผู้เลือกเอง ว่าจะเข้าไปมีความสัมพันธ์กับใคร
ผมเข้าใจว่าชีวิตต้องมาถึงในขั้นตอนนี้ เราจึงจะสามารถเข้าใจเรื่องความรักและมิตรภาพ ได้อย่างแท้จริง
เราไม่ได้ "รัก" เพื่อน แฟน หรือเมีย เพียงเพราะว่าเราต้องการใครมาช่วยเติมชีวิตที่ขาดพร่อง และไม่มีความเป็นตัวของตัวเองของเรา"

...
...
...

อ่านแล้วก็ให้นึกถึงชีวิตตัวเอง
ตอนนี้ ตัวเราอยู่ในระดับขั้นไหน?

จะบอกว่า dependent ก็อาจใช่
ในเมื่อเงินทองที่ใช้เป็นค่าเล่าเรียน ค่าเดินทาง ค่ากินอยู่สำหรับชีวิตในประเทศอังกฤษนี้ ผมไม่ได้หามาได้ด้วยตัวเอง
(แม้ว่า ถึงเวลานี้ ผมจะมีงานพิเศษนอกเวลา เพื่อหารายได้มาเป็นค่ากินอยู่ก็ตาม)

จะบอกว่า independent ก็มีส่วน
ในเมื่อผมเอง ก็มีแนวทาง ความคิดแห่ง อุดมคติของความเป็นปัจเจกชนอยู่บ้าง (หากผมเข้าใจความหมายของคำนี้ไปในทิศทางเดียวกันกับเจ้าของบทความข้างบน)
และผมก็มั่นใจว่าผมพัฒนาความเป็นตัวของตัวเองมาระดับหนึ่ง(อาจยังไม่สุด)
ที่มั่นใจที่สุด... ผมทนต่อความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาได้ (บทพิสูจน์จากช่วงเวลาใน Wismar, Germany หรือแม้แต่บางช่วงเวลาที่นี่ Falmouth, UK)

จะบอกว่า interdependent ก็ไม่กล้าที่จะอวดอ้าง? (ไม่ทราบ... แต่สำหรับผม ระดับขั้นนี้ มันดูสูงส่งอยู่ไม่น้อย)
แต่ผมแน่ใจว่า ผม"เป็นผู้เลือกเอง"ว่าจะเข้าไปมีความสัมพันธ์กับใคร? (ในความหมายรวมทุกความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็น คนรัก เพื่อน ฯลฯ)

ถ้าจะต้องให้คำตอบกับตัวเองจริงๆ
ผมคงอยู่ในรอยต่อของระดับ dependent ที่กำลังก้าวเข้าสู่ independent โดยมี interdependent เป็นเป้าหมาย ล่ะมั้ง

ผมยังคงหาเลี้ยงตัวเองไม่ได้... แต่ผมกำลังเดินตามเส้นทางที่ผมคิดไว้แล้วว่า มันจะพาไปสู่จุดนั้น
ผมยังคงไม่มั่นคงถึงที่สุด ในความเป็นตัวของตัวเอง ในอุดมคติของความเป็นปัจเจกชน... แต่ผมรู้ว่าผมมีมันเป็นแรงขับอยู่ข้างใน (นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผม เป็น อยู่ อย่างทุกวันนี้)
ผมยังคงไม่มีชีวิตที่แข็งแกร่งมั่นคง ตัวตนที่เต็มเปี่ยม... แต่ทางที่ผมเลือกเดินมา ผมคิดว่ามันจะพาผมไปสู่จุดนั้นได้

...
...
...

สำหรับผม ที่สุดแล้ว มันไม่ได้สำคัญว่า เราจะไปอยู่ในระดับไหน
มันไม่ได้บ่งชี้ว่า เราดีกว่าคนอื่นๆ

สำหรับผม สำคัญเพียงว่า
เรารู้ว่าเราเดินมาตามเส้นทางไหน
เรารู้ว่าเรากำลังเดินอยู่บนเส้นทางช่วงไหนของชีวิต
เรารู้ว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปยังจุดหมายใด

...ขอเพียงเรามีสติ รับรู้ เข้าใจ ในวิถีของตัวเรา...

Sunday, October 01, 2006

เรือนไม้สีเบจ

...สวรรค์ส่งเรามาเกิดเพียงครึ่งเดียว ปล่อยอีกครึ่งหนึ่งของตัวเราไว้ที่ไหนก็ไม่รู้บนโลกกลมๆ ใบนี้
จิตวิญญาณของเรา จึงไขว่คว้าหาใครสักคนที่จะมาทำให้ชีวิตของเราเต็มบริบูรณ์
เสาะหา ติดตาม จนกระทั่งได้พบ ในวงแขนของกันและกัน...

...ด้วยเหตุนี้ คนเรากอดตัวเองไม่พอ
เราต้องกอดใครอีกสักคน แล้วให้เขากอดเราตอบ
...อ้อมแขนถึงจะสมบูรณ์...

- ว.วินิจฉัยกุล : เรือนไม้สีเบจ -

Thursday, September 28, 2006

สิ่งที่ชอบในอังกฤษ (1)

...เนื้อวัวถูกกว่าไก่และดูเหมือนจะราคาพอๆ กับหมู (ผมชอบกินเนื้อ)
...ดื่มน้ำเปล่าจากก๊อกได้เลย ไม่ต้องซื้อ

Wednesday, September 27, 2006

'Grand Line' - ทะเลชีวิต

บ่ายโมงครึ่ง...
ผมนั่งอยู่บนเตียง ข้างหน้าต่างในห้องนอน
ข้างนอกฟ้าขมุกขมัว ไร้แสงแดด ภายในห้องดูทึมๆ บรรยากาศชวนให้เหงา

นั่งใจลอย คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย

นี่ก็สัปดาห์หนึ่งแล้ว นับจากที่ย้ายชีวิตมาอยู่ที่ Falmouth
สัปดาห์แรก กับอะไรอะไรที่ไม่ลงตัว ก็พาลให้เหนื่อยใจอยู่ไม่น้อย
ตอนนี้ อะไรอะไรเริ่มเข้าที่เข้าทางบ้าง หวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อยๆ

นั่งใจลอย คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย

โดยปกติ ผมไม่ใช่คนที่ชอบขีดเส้นทางเดินให้ชีวิตตัวเองนัก
กับอนาคตที่ยังดูไกลห่าง ผมอยากปล่อยให้ชีวิตได้เดินไปตามทางที่มันน่าเดินไป ณ เวลานั้น
อย่างดี ผมก็แค่กำหนดคร่าวๆ ว่าจะไปทางทิศไหน แต่ไม่ชอบและไม่อยากกำหนดว่าต้องเป็นองศาไหน ลิปดาเท่าไร
บางคนอาจบอกว่ามันไม่ดี ชีวิตจะเละเทะ
แต่จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อบางสิ่งบางอย่างในร่างกายผม มันบอกว่าชีวิตผมถูกโรคกับการเดินทางแบบนี้มากกว่า

...
...
...

ผมชอบอ่านการ์ตูนมาก เรียกว่าติดเลยก็ได้
เรื่องหนึ่งที่ชอบมากคือ 'One Piece' เป็นเรื่องราวของตัวเอกที่อยากเป็นโจรสลัดที่ดีเหมือนกับผู้มีพระคุณของเขา
จึงออกเรือเดินทาง รวบรวมสมัครพรรคพวก โดยมีจุดหมายอยู่ที่สุดยอดมหาสมบัติ 'One Piece'
เมื่อตัวเอกและพวกพ้องเดินเรือเข้าไปในเขตทะเล 'Grand Line' อันเป็นที่อยู่ของ 'One Piece' เข็มทิศปกติ จะไม่สามารถใช้การได้
การเดินเรือต้องอาศัยเข็มทิศชนิดพิเศษ เฉพาะสำหรับการเดินเรือใน 'Grand Line' ที่เรียกกันว่า 'ล็อคโพส'
เมื่อเข้าสู่ 'Grand Line' เข็มทิศ 'ล็อคโพส' จะล็อคเป้าหมาย ชี้ไปที่เกาะเกาะหนื่งอยู่อย่างนั้น
จนเมื่อเดินทางไปถึง ทิ้งระยะเวลาหนึ่ง(แล้วแต่เกาะว่าจะกินเวลาเท่าไร) เจ้า 'ล็อคโพส' ก็จะล็อคเป้าหมาย(เกาะ)ต่อไป
เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ตลอดการเดินทาง จนไปสู่จุดหมายคือ 'One Piece'

...
...
...

'Grand Line' คงเหมือนทะเลชีวิตของผม
ผมไม่อยากขีดเส้นทางเดินให้ชีวิตตัวเองไว้ล่วงหน้า
เพียงแค่กำหนดเป้าหมายคร่าวๆ เป็นลำดับๆ ไป นั่นก็เพียงพอ
...เข้ามหาวิทยาลัย ผมกำหนดเป้าหมายคร่าวๆ คือเรียนให้จบ แล้วหางานทำเอาประสบการณ์
แต่ผม่ไม่เคยขีดเส้นให้ตัวเองอย่างชัดเจนว่า ต้องทำอะไร ทำนานแค่ไหน แล้วจะทำอะไรต่อไปจากนั้นอีก

ผมเชื่อของผมเองว่า เมื่ออยู่ในสถานการณ์นั้น ณ เวลานั้น กายและใจของเราคงจะทำหน้าที่เหมือนเจ้า 'ล็อคโพส' และสะกิดเตือนว่า การเดินทางครั้งต่อไปควรจะเริ่มต้นขึ้นได้แล้ว โดยมีจุดหมายอยู่ที่ใด

ระหว่างทาง เรือของผมอาจถูกลมพัด อาจถูกคลื่นซัดออกนอกลู่ทางไปบ้าง
แต่ทุกครั้งที่ ต้องเผชิญกับคลื่นลมเหล่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างสอนเราว่าต้องแก้ปัญหาอย่างไร
และท่ี่สำคัญ เมื่อผ่านพ้นมาได้ เรานั่นเองที่จะเรียนรู้ว่า คนเรามีความแข็งแกร่งเพียงใด มีความสามารถในการแก้ไขสถานการณ์ เอาตัวรอดได้ดีเพียงใด

ผมว่าการเรียนรู้เหล่านี้ สำคัญกว่าการที่เราจะไปถึงจุดมุ่งหมายฤไม่ เสียอีก
รู้จักที่จะแก้ปัญหา รู้จักที่จะใช้ชีวิต
และที่ผมเชื่อของผมเองว่าสำคัญมากที่สุด

...ระหว่างทาง เรารู้จักตัวเองมากขึ้น มากขึ้น...

Tuesday, September 26, 2006

ขอบคุณที่ฉันไม่ได้รัก

I owe so much to those I don’t love.

The relief as I agree that someone else

needs them more.

The happiness that I’m not the wolf to their sheep.

The peace I feel with them, the freedom

love can neither give nor take that.

I don’t wait for them, as in window-to-

door-and-back.

Almost as patient as a sundial,

I understand what love can’t

and forgive as love never would.

-Thank- you Note


Wislawa Szymborska



ขอบคุณที่ฉันไม่ได้รัก

ฉันติดหนี้บุญคุณเหลือคณานัก

ต่อผู้คนที่ฉันมิอาจรักพวกเขาได้

คลายกังวลไปมากมาย

เมื่อมีใครรักพวกเขาเหล่านั้นได้มากกว่าฉัน

สุขใจ-ที่พวกเขามิต้องกลายเป็นลูกแกะ

และฉันไม่ต้องกลายเป็นหมาป่าเช่นกัน



วิสลาวา ซิมโบร์สกา เป็นกวีหญิงชาวโปแลนด์ เจ้าของรางวัลโนเบล

สาขาวรรณกรรมในปี 1996 เธอเคยพูดว่า “ฉันชอบองย้อนกลับไปดูความน่ากลัว

ในอดีต เพื่อจะก้าวต่อไปในอนาคต”

การเดินทางของชีวิต เราต้องผ่านพบกับผู้คนมากมาย รักบ้าง เกลียดบ้าง

เฉยเมยต่อกันบ้าง คละเคล้ากันไป

ผู้คนมากมาย เรื่องราว มากมาย

การย้อนกลับไปคิดถึงคนที่เราเคยรัก บางครั้งอาจกลายเป็นความเจ็บปวด

ชนิดหนึ่ง

แต่ใครจะทันได้คิดถึงคนที่เราไม่เคยรัก

เหมือนในกวีบทนี้

โลกเราอาจมีลูกแกะใจกล้ามากมาย ที่ยอมเสี่ยงตายเดินเข้าไปสารภาพรัก

ต่อหน้าหมาป่า ผู้ซึ่งไม่มีวันรักลูกแกะได้ ทั้งยังเป็นหมาป่าใจร้าย ชอบขย้ำฉีกทึ้งเนื้อ

แกะกินเป็นอาหารด้วย



เมื่อไม่รัก

อาจยากนักที่จะถนอมน้ำใจกันไว้ได้

แต่เนื่องเพราะมิอาจรัก

เราจึงมักคิดถึงพวกเขาด้วยใจสงบได้

เพราะรักไม่ได้

อิสรภาพในความสัมพันธ์ที่เราได้พบจึงยิ่งใหญ่

เราได้พบว่า

เมื่อความรักไม่จำเป็นต้องหมายถึงการรับหรือการให้

เราก็ไม่จำเป็นต้องชะเง้อประตูหน้าต่างรอคอยใคร

ไม่จำเป็นต้องอดทนอดกลั้นเหนื่อยใจเพื่อใครอีกด้วย

ขอบคุณที่ไม่ได้รัก

เพราะหาก “รัก” เข้าแล้วเมื่อไหร่

เราคงมิอาจเป็นเช่นนั้นได้

เพราะไม่ได้รัก..เราจึงรู้จักการให้อภัยอีกแบบหนึ่ง

ในแบบซึ่ง “ความรัก” มิเคยให้ได้

เราอาจเป็นหนี้ผู้คนมากมายที่เราไม่ได้รักเขา

แต่หากถาม “ความรัก”บ้างเล่า

ว่าเป็นเจ้าหนี้ใครอะไรหรือไม่

ความรักอาจตอบเราว่า

มันไม่เคยสร้างบุญคุณแก่ใคร

ไม่เคยมีใครติดหนี้ซักอย่าง

เพราะความรักนั้น..โดยตัวมันแล้ว

คงไม่ขึ้นตรงต่อใคร

สำคัญที่ดวงใจของเราต่างหากที่จะตระหนัก

ฉันติดหนี้บุญคุณเหลือคณานัก

ต่อผู้คนที่ฉันมิอาจรักพวกเขาได้

แต่คลายกังวลไปมากมาย

เมื่อมีใครรักเขาเหล่านั้นได้มากกว่าฉัน



จากหนังสือ พระจันทร์พันดวง

ของ ปราย พันแสง

Thursday, September 07, 2006

เพราะไม่ใช่แค่อากาศ ที่เปลี่ยนแปลงบ่อย

เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ...วลีนี้คงกำลังเป็นที่คุ้นหูคุ้นตากับผู้คนทั่วไป
กับหนังจากฝีมือการกำกับของพี่ต้น (แห่ง "แฟนฉัน") ที่กำลังถูกพูดถึงค่อนข้างมาก และทำรายได้วิ่งฉิว

...
...
...

อย่างที่รู้กัน อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ อาจทำให้คนเราเกิดอาการเจ็บป่วย มากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่ร่างกายของแต่ละคน
และเพราะอย่างนั้น ทุกคนจึงถูกแนะนำให้รักษา เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อวันที่ต้องพบกับความปรวนแปรของอากาศ ร่างกายเราจะได้พร้อมรับมือกับมัน

อย่างที่รู้กัน ความเปลี่ยนแปลงคือสัจจะที่ได้รับการพิสูจน์โดยการเวลา
นอกจากสภาพอากาศแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนอนิจจัง ดั่งที่ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกนี้ได้กล่าวไว้เมื่อนับพันปีมาแล้ว
ที่ใกล้ตัวและเกิดผลกระทบมากที่สุดก็หนีไม่พ้นชีวิตของเราเอง ซึ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ...ขึ้น ลง ดี ร้าย ล้วนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาทักทายเราอยู่เสมอ อยู่นานบ้าง สั้นบ้าง เป็นครั้งคราวไป
และเพราะอย่างนั้น ทุกคนจึงถูกแนะนำให้รักษา เสริมสร้างจิตใจ ให้เข้มแข็ง แกร่งกล้า เพื่อพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ของชีวิต ที่ปรวนแปรไม่แพ้อากาศ

...เพราะไม่ใช่แค่อากาศ ที่เปลี่ยนแปลงบ่อย...

Monday, September 04, 2006

ถึงผู้ที่ติดตามอ่าน ผู้ที่หลงเข้ามา ... เอ่อ ...? ก็ทุกผู้ทุกนามนั่นแหละ

ผมเองก็ติดตามอ่านทุกๆ ความเห็นนะครับ
แต่ไม่อยากไปตอบอะไรๆ ในพื้นที่ comments
ปล่อยให้มันเป็นพื้นที่สำหรับทุกๆ ท่านที่แวะเวียนเข้ามาดีกว่า
หากใครอยากพูดคุยโต้ตอบกัน รบกวนมาคุยกันที่ messenger, e-mail, phone, etc. ตามแต่สะดวกนะครับ

ขอบคุณทุกท่านที่มาอุดหนุน...ผมหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้บริการทุกท่านตลอดไป (ใช้คำได้เชยจริงๆ ...เอิ๊กๆๆ)

Wednesday, August 30, 2006

แค่รัก...พอไหม?

พักหลังนี้ อยู่ดีๆ ผมก็มานั่งคิดว่า

ความรักที่เรามีให้ มันเพียงพอที่จะทำให้เขาหันมามองเราบ้างไหม?

ตัวผมเองก็ทราบดี ว่าในหลายๆ ที แค่ความรักมันคงไม่พอ
แต่ถ้าตัดปัจจัยอื่นๆ เช่น ความมั่นคง หน้าที่การงาน หรืออะไรอะไรแถวๆ นี้ ออกไป
ความรัก มันเพียงพอที่จะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งมารักเรา พิจารณาเราอย่างจริงจังบ้างได้ไหม?
หากในเริ่มแรก เธอไม่ได้ชอบผมในแบบที่ผมชอบเธอ ความรักที่ผมมีให้ จะเพียงพอที่จะทำให้ความรู้สึกของใจเธอเปลี่ยนไปได้ไหม?

ผมเองเข้าใจ ว่าแต่ละคนก็คิดและต้องการต่างกันไป
ผู้หญิงบางคน อาจต้องการผู้ชายที่มั่นคง สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ดี
ผู้หญิงบางคน อาจต้องการผู้ชายที่รักเธอมาก ดูแล เอาใจใส่เธออย่างดี
ผู้หญิงบางคน อาจต้องการผู้ชายที่ปล่อยให้เธอได้ดูแล เอาใจใส่เขาเต็มที่
...แล้วผู้หญิงที่ผมชอบ ผมรัก เธอต้องการอะไร?
ด้วยศรัทธาที่ถดถอย ผมเฝ้าถามตัวเอง...

...ความรักที่ผมมี มันจะมีค่ากับใครบ้าง...

Friday, April 21, 2006

เลือกที่จะแลก

วานนี้ ผมเพิ่งได้ดูหนังเรื่อง the butterfly effect
หนังเล่าเรื่องราวของ อีแวน เด็กชายผู้มีอาการวูบ (black out) เป็นโรคประจำตัว
หลังจากอาการวูบ อีแวนไม่สามารถที่จะจำเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่เขาเกิดอาการวูบได้
แม่ของอีแวน บอกให้เขาเขียนบันทึกประจำวัน ด้วยความหวังว่าอาจเป็นสิ่งที่ช่วยเกี่ยวกับความทรงจำของอีแวน

...เวลาผ่านไป อีแวน เป็นนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย เขาไม่มีอาการวูบมาเป็นเวลาเจ็ดปีแล้ว
แต่แล้ววันหนึ่ง มีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาได้กลับไปอ่านบันทึกวัยเด็กที่เขาเขียนมาตลอด
อีแวน เกิดอาการวูบขึ้นมาอีกครั้ง... แต่คราวนี้ระหว่างอาการวูบ อีแวน ได้เห็นเหตุการณ์ที่หายไปจากความทรงจำของเขาในวัยเด็ก
เมื่อฟื้นคืนสติกลับมา เขาพบว่า สิ่งที่เขาเห็น การกระทำของเขาในอดีต ได้ส่งผลถึงความจริงในปัจจุบัน

หนังเล่นกับความรู้สึกของคน -ผมเชื่อว่าทุกคน- ที่เคยสงสัยว่า "หากในวันนั้น เราได้กระทำในอีกสิ่งหนึ่ง (ที่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงไปแล้ว) เรื่องราวมันจะเป็นอย่างไร ชีวิตของเราจะเปลี่ยนไปจากวันนี้ไหม?"
หากย้อนเวลาได้ ทุกคนคงอยากที่จะกลับไปแก้ไขข้อผิดพลาดของชีวิต ด้วยความตั้งใจและความหวังที่ว่า มันจะทำให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารัก ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

แต่ในระหว่างเรื่องราว...
หนังได้แสดงให้เห็นว่า ไม่มีอะไรที่จะ"ถูก"ไปเสียทั้งหมด (ดังที่เจสัน พ่อของอีแวนพูดไว้)

...
...
...

ในโลกแห่งความเป็นจริง อาจเป็นอย่างที่หลายใครว่าไว้ "ไม่มีอะไรสมบูรณ์ไปทั้งหมด - nothing is so perfect"
บางที เราอาจต้อง"เลือก"ที่จะ"แลก"บางสิ่งกับอีกบางสิ่ง
บางที เราอาจต้องสูญเสียบางสิ่ง เพื่อที่จะได้อีกบางสิ่งมา
ส่วนที่ยากที่สุด คงจะเป็นคำถามที่ว่า อะไรที่เราจะเลือกไว้ และอะไรที่เราจะยอมสูญเสียมันไป

...
...
...

ตอนจบของหนัง ทำให้ผมได้คิดว่า...
"ในหลายครั้ง หลายสิ่งหลายอย่างจะดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย ก็เมื่อเราได้ตระหนักคิดถึงความสุขของตนเองให้น้อยลง คิดถึงความสุขของคนที่เรารักให้มากขึ้น"

จากการเรียนรู้ ในที่สุด อีแวน ก็เข้าใจว่า...
เขาอาจต้องยอมเสียสละความสุขที่เขาต้องการ ความสุขที่เขาได้พยายามอยู่หลายครั้งเพื่อที่จะได้มันมา
เพื่อที่จะแลกกับการที่เขาได้รับรู้ว่า คนที่เขารัก จะมีชีวิตที่ดี มีความสุข

การเข้าใจในจุดนั้น อาจไม่ได้ยากเกินความสามารถของคนธรรมดาทั่วไป
แต่สิ่งที่น่ายกย่อง และเป็นคำถามว่าเราจะทำมันได้ไหม
คือความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ของจิตใจ ในการที่จะตัดสินใจยอมสูญเสียความสุขที่ตนเองเฝ้ารอคอยมาตลอด เพื่อที่จะแลกกับสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นกับคนที่เรารัก
ผมเชื่อว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จะทำกันได้ง่ายๆ และไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้

...เมื่อถึงวันหนึ่ง ผมอยากเข้มแข็งได้อย่าง อีแวน...

Saturday, April 15, 2006

นักเดินทาง

[เขียนเมื่อ 11 เมษายน 2549 เวลาประมาณห้าทุ่ม, ที่บาร์ริมหาดแห่งหนึ่ง ณ เกาะเต่า]

ห้าทุ่ม... ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ที่บาร์ริมหาดแห่งหนึ่ง ณ เกาะเต่า (หาดโฉลกบ้านเก่า) การมาเดินทางมาหย่อนใจครั้งนี้ ผมติดสอยห้อยตามเพื่อนสนิทสมัยมัธยมปลายคนหนึ่งมา โดยที่เธอเองก็เกาะมากับรุ่นพี่ที่ทำปริญญาเอกอยู่ด้วยกัน นอกนั้น อีกประมาณสิบชีวิตที่เหลือ เราทั้งคู่ต่างไม่เคยรู้จักมาก่อนหน้า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า เมื่อเพื่อนผมไม่อยากมานั่งที่บาร์ริมหาดและขอตัวเข้านอน ผมจึงต้องมานั่งปล่อยอารมณ์อยู่คนเดียวที่นี่

มองไปรอบๆ ดูเหมือนว่าผมจะเป็นคนไทยแท้ๆ เพียงคนเดียว ณ บาร์ริมหาดแห่งนี้ เพราะแม้แต่พนักงานบริการที่บาร์นี้ ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่คนไทยแท้ๆ (ผมเดาเอาจากการที่พวกเขาดูจะฟังและพูดภาษาอังกฤษคล่องและชัดเจนกว่าภาษาไทยที่ผมสื่อสารด้วย) นอกเหนือไปจากผมและพนักงานบริการก็เป็นชาวต่างชาติทั้งนั้น
เคยได้ยินคำพูดที่ว่า คนไทยอัธยาศัยดี ดีกว่าพวกฝรั่งตาน้ำข้าว ผมเองก็เห็นด้วยกับคำพูดดังกล่าว... แต่กับสถานการณ์ของนักท่องเที่ยวที่มาเพียงลำพัง ณ ที่ต่างถิ่น บางครั้งทฤษฎีนี้ก็อาจไม่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด บ่อยๆ ที่ผมเห็นฝรั่งที่มานั่งคนเดียวแล้วก็ทักทายผู้คนรอบข้าง ชวนพูดคุย

...กับบางคน อาจดูแปลก เพราะแน่นอน หากเลือกได้ การเดินทางไกลๆ กับเพื่อนที่รู้ใจ อย่างน้อยสักคนสองคน ย่อมเป็นทางเลือกที่น่าเลือกมากกว่า แต่บางครั้ง คนเราก็อาจมีเหตุผล ข้อจำกัด ให้ต้องเดินทางไกลๆ คนเดียว และในหลายครั้ง มันก็มีข้อดีที่ต่างออกไป เราอาจมีโอกาสได้พบเจอ พูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความคิด มุมมอง ฯลฯ กับคนแปลกหน้า ต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม และเขาเหล่านั้นที่อาจเรียกได้ว่าเป็น "นักเดินทาง" อาจให้ความคิด มุมมอง อะไรดีๆ บางอย่าง ที่เขาได้จากการเดินทางอยู่เป็นนิจ กับเราบ้างก็เป็นได้

...
...
...

ในความเป็นจริง เราทุกคนอาจเป็นนักเดินทางด้วยกันทั้งนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย เราต่างก็เดินทาง, อย่างน้อยก็ในความคิด, เราต่างเดินทางเสาะแสวงหาบางสิ่งบางอย่างให้กับอีกบางสิ่งบางอย่างข้างในตัวเอง
ในระหว่างทางเดินของชีวิต เราคงได้พบเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตา กับผู้คนเหล่านั้น บางคนเพียงมองหน้ากัน บางคนเรายิ้มให้ บางคนเราได้รู้จัก บางคนเราถึงกับได้เดินทางร่วมกัน
คนเราเกิดมาเพียงลำพัง แต่อาจไม่ตายไปอย่างเดียวดาย เมื่อในระหว่างทาง เราสร้างความสัมพันธ์ขึ้นมามากมาย คงไม่มีใครอยู่คนเดียวบนโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ ผมเชื่ออย่างนั้น

ทุกๆ สิ่ง ทุกๆ คน ที่เราพบเจอในระหว่างเดินทางแห่งชีวิต จะดีจะแย่ ชอบฤว่าไม่ เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า มันได้หล่อหลอมให้เราเป็นเราอย่างที่เป็นอยู่ ...แม้แต่กับเรื่องราวร้ายๆ ในชีวิต หากจะว่าไป มันก็สอนให้เราได้เรียนรู้อะไรอะไร รวมถึงสอนให้เรารู้จักระวังตัวในคราวต่อๆ ไป เพียงเรารู้จักเลือกสรร เฟ้นหา หยิบเอาเกร็ดที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต มาใช้ มาเรียนรู้... ความเจ็บปวดทุกข์ร้อนที่ผ่านเข้ามาก็จะมีคุณค่าและความหมายกับเราอยู่เหมือนกัน ดังคำพูดของ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ว่าเอาไว้ในหนังสือ open diary

...ในความเจ็บปวด คงมีความสุข กระทั่งความงดงามบางอย่างซ่อนอยู่...

Thursday, March 16, 2006

มือของเพื่อนมีความหมายเสมอ

หลายวันก่อน ระหว่างการสนทนาของผมกับน้องคนหนึ่ง
น้องคนนั้นบอกผมว่า เขาไม่มีเพื่อนที่พูดคุยเรื่องราวในบางด้านได้เลย
เปล่า น้องเขามีเพื่อนสนิท เวลาชีวิตมีปัญหา(อืม...แต่ผมคิดว่าไม่น่ามีมั้ง สำหรับคนนี้)ก็คงพูดคุยปรึกษาได้
แค่ในบางเรื่องราว เช่น การเมือง เขาไม่มีเพื่อนที่จะคุยกันได้
แต่มันจะแปลกอะไร ก็ในเมื่อมีบางใครพูดไว้ว่า การเมือง ศาสนา เป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาเป็นหัวข้อสนทนา
บางครั้ง การไม่พูดถึง อาจดีกว่าก็เป็นได้
...
...
...

ผมย้อนกลับมานึกถึงตัวเอง ว่ามีเพื่อนรักจริงๆ อยู่สักกี่คน
นับไปนับมา ก็ไม่น้อย... พูดถึงระดับความสนิท แล้วมีอยู่จำนวนประมาณนี้ ผมแน่ใจว่า ชีวิตนี้ ผมมีเพื่อนรักมากพอแล้ว

เคยได้ยินคำพูดที่ว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม
รวมกับสิ่งที่เป็นสัจธรรมว่า คนเรา คงไม่มีใครจะมีความสุขได้ตลอดเวลา
เท่านี้ ก็เพียงพอแก่เหตุผลของความจำเป็นในการมีเพื่อน
จริงอยู่ว่าความเจ็บปวด ความทุกข์ ทุกๆ ครั้ง ทำให้เราเติบโต ทำให้เราแข็งแกร่ง
แต่ในช่วงเวลาที่ถูกโอบล้อมด้วยความเจ็บปวด ความทุกข์ ...เราคงไม่อาจปฏิเสธว่าการมีเพื่อนสามารถช่วยให้เราก้าวข้ามความเจ็บปวด ความทุกข์เหล่านั้น ได้ดีกว่าการเผชิญหน้ากับมันเพียงลำพัง
คุณวรพจน์ พันธุ์พงศ์ เขียนไว้ในหนังสือ "open diary" ว่า...

"ในสถานการณ์คับขัน มือของเพื่อนมีความหมายเสมอ"

"เรื่องเลวร้ายจะไม่เลวลง ถ้านั่งอยู่ในวงล้อมแห่งมิตรสหาย ปัญหาจะคลี่คลายได้ด้วยการตบหลัง โอบไหล่ ช่วยกันให้ข้อคิด มุมมอง"

หลายครั้งที่ผมเห็นข่าวการฆ่าตัวตาย ผมไม่อยากให้ใครประณามว่าเขาคิดสั้น
กลับกัน ผมเห็นใจ สงสาร และมักสงสัยเสมอ ว่าเขาต้องหดหู่แค่ไหน ถึงได้ทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต
ผมมักสงสัยเสมอว่า เขาเหล่านั้นได้แบ่งปันปัญหาให้ใครสักคนได้รับรู้บ้างไหม
และเขาเหล่านั้นมี"มือ"อันอบอุ่นของเพื่อนยื่นมาหาบ้างไหม...

ในหลายครั้งที่ผมสับสน ในหลายครั้งที่ผมทุกข์
หลายมือของเพื่อน ที่ยื่นมาเสนอความช่วยเหลือ ด้วยความรัก ความเป็นห่วงเป็นใย ทำให้ผมซาบซึ้งเสมอ
มือเหล่านั้นช่วยโอบอุ้ม ผลักดัน ให้ผมก้าวผ่านวิกฤติแห่งชีวิตมาได้ง่ายกว่าการสู้เพียงลำพัง
(ใช่ ถึงแม้ว่าปัญหาจะไม่ใหญ่โต แต่ในห้วงเวลาแห่งความทุกข์ เราก็รู้สึกเหมือนเป็นวิกฤติชีวิตกันทั้งนั้นใช่ไหม)
...
...
...

ในชีวิตหนึ่ง เราคงค้นหาอะไรหลายๆ อย่าง เราคงมีจุดหมายต่างๆ กันไป
แต่ในระหว่างทางเดิน สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่ง ที่ทุกคนอยากมีร่วมทางเหมือนๆ กัน
สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่ง ที่ทุกคนค้นหาไปพร้อมๆ กับการก้าวเดินสู่จุดหมายแห่งชีวิต

...มีคำตอบอยู่ในใจกันแล้วใช่ไหมครับ...

Tuesday, February 28, 2006

...นางฟ้า...

เธอถามถึงเหตุผลที่ฉันรักเธอ
...
...
...

เธอเคยแหงนหน้ามองดูดาวบนท้องฟ้าไหม?

เปล่า... ฉันไม่ได้จะเปรียบเธอเหมือนดาวบนท้องฟ้า
แต่เธอเคยสังเกตไหม ดาวแต่ละดวง มันสุกสว่าง สวยงาม อยู่ในตัวมันเอง
และเมื่อไรที่ฟ้ายามค่ำคืน "แน่น"ไปด้วยดวงดาว ...ฟ้าคืนนั้น มันคงสวยงาม และน่าจดจำอย่างที่อธิบายไม่ถูก

ฉันอยากจะเปรียบเทียบความรักของฉันแบบนั้น

ฉันมีเหตุผลมากมาย ที่จะบอกว่า ฉันรักเธอ
มันเป็นสิ่งละอันพันละน้อย ที่ฉันชอบ ในตัวเธอ
เมื่อรวมเข้าด้วยกัน มันก็อัดแน่นอยู่ในใจมากพอที่ฉันจะพูดคำว่า"รัก"ให้กับเธอ
สำหรับฉัน เธองดงาม และน่าจดจำ ...เหมือนกับฟ้ายามค่ำคืน ที่แน่นไปด้วยดวงดาว
...
...
...

ในความเป็นเพื่อน ฉันยังมีความรักให้เธอเสมอ

Thursday, February 23, 2006

ค่านิยม...ในวงเล่า

ค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ในวงเล่า ที่ร้านประจำของผมและผองเพื่อน ชื่อ"ปลาดิบ"
(อร่อย บรรยากาศดี แนะนำครับ แนะนำ ...ร้าน"ปลาดิบ"อยู่ปากซอยอารีย์สัมพันธ์ ๗ เยื้องๆ กับกระทรวงการคลัง ตรงข้ามกรมประชาสัมพันธ์)
ครั้งล่าสุดนี้ มีสมาชิกที่แปลกหน้าสำหรับผมเพิ่มมาหนึ่งคน เป็นเพื่อนของเพื่อน แต่ผมไม่เคยเจอมาก่อน
เขาทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี แต่เขาไม่ได้เป็นหมอ
ในระหว่าง การดื่มประกอบการสนทนา ...เอ หรือจะเรียกว่า การสนทนาประกอบการดื่ม เพื่อนคนนี้ก็พูดขึ้นมา...
"พวกหมอนี่เก่งนะ ผมเข้าประชุมมา รู้สึกว่า พูดเรื่องอะไรอะไร ก็ดูเหมือนจะรู้เรื่อง เข้าใจ ไปเสียทุกอย่าง "

...
...
...

ไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสได้คุยกับรุ่นน้องคนหนึ่ง ตอนนี้เธอเรียนอยู่ ม.๕ ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ช่วงหนึ่งของการสนทนา ผมถามเธอว่า คิดไว้ฤยัง ว่าอยากเรียนอะไร ... "อยากเรียนหมอค่ะ" เธอตอบ
ผมถามเธอว่า ทำไมถึงเลือกที่จะเรียนหมอ
"ก็ไม่รู้จะเลือกเรียนอะไรแล้ว" ...นี่คือคำตอบแรกที่ผมได้ฟังจากเธอ

หลังจากคุยกันอยู่เป็นเวลาพอสมควร ผมก็จับความได้ว่า
เธอเรียนสายวิทย์ เรียนมาในระดับนี้(ที่เรียกว่าดีมาก) คณะที่สมควร(ครับ เธอพูดในความหมายของ"สมควร")จะเลือกเรียน มีอยู่ไม่มากนัก อาจจะเพียง ๒-๓ คณะ
เนื่องด้วยเธอเป็นหญิงสาว การจะให้ไปเรียนวิศวกรรมศาสตร์ เธอก็คิดว่ามันคงจะไม่รุ่งนัก
เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ บัญชี ก็ดูจะเป็นคณะสำหรับนักเรียนสายศิลป์ ในสายตาเธอ หรือพูดอีกอย่างว่า อุตส่าห์เรียนสายวิทย์มาแล้ว จะให้ทิ้งไปได้ยังไง
แพทย์ เป็นอาชีพที่มีรายได้ดี และอัตราของคนที่ประสบความสำเร็จเทียบกับจำนวนคนที่เรียนก็สูง (การประสบความสำเร็จที่ว่า คือ รายได้ที่ดี และเป็นที่ยกย่องของคนในสังคมทั่วไป)
...เหล่านั้นคือเหตุผลที่ทำให้เธอคิดที่จะเลือกเรียนแพทย์ศาสตร์

ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจในความคิดของรุ่นน้องคนนี้ และผมพูดได้ว่า เป็นความคิด ความตั้งใจที่ดี
เพราะถ้าย้อนกลับไปวันที่ผมยังใส่ขาสั้น ในสายตาของผมก็มองเห็นอาชีพอยู่ไม่เท่าไร
ผมอวยพรให้รุ่นน้องคนนี้ ประสบความสำเร็จตามทางที่เธอเลือกเดิน...

...
...
...

วันนั้น ในวงเล่า ผมตั้งคำถามกับเพื่อนๆ ว่า คนที่จะเรียนหมอ จะประกอบอาชีพ นายแพทย์/แพทย์หญิง ควรเป็นอย่างไร
ผมมีคำตอบให้กับตัวเอง สำหรับคำถามนี้
อันที่จริง มันเป็นคำตอบที่มีอยู่มานานพอสมควรแล้ว

ผมมีความรู้สึกว่า ส่วนมาก ค่านิยมของคนทั่วไปคือ...
นายแพทย์/แพทย์หญิง เป็นอาชีพสำหรับคนหัวกะทิเท่านั้น
ถ้าลูกเรียนเก่ง ฉลาด พ่อแม่ผู้ปกครอง ก็มักจะคอยพูดย้ำเสมอ ให้ลูกหลานของตนเรียนหมอ ...เป็นหมอสิลูก รวยนะ

เราให้การยกย่องกับอาชีพบางอาชีพเกินไปฤเปล่า ในขณะที่เราแทบจะไม่ให้คุณค่ากับอีกหลายๆ อาชีพอย่างที่มันควรจะเป็น

เปล่า ผมไม่ได้ต่อต้าน ฤว่าตั้งแง่กับอาชีพแพทย์
กลับกัน ผมยังคงเห็นว่า นี่เป็นอาชีพที่มีเกียรติ และสมควรจะได้รับการยกย่องจากคนในสังคม ...สำหรับนายแพทย์/แพทย์หญิงที่มีจรรยาบรรณเต็มเปี่ยม
สิ่งที่ผมตั้งคำถาม อยู่ที่ "ค่านิยม"

คำตอบของผมสำหรับคำถามข้างบน...
ผู้ที่จะเลือกเรียนหมอควรจะตระหนักรู้ว่า นอกจากรายได้ที่มั่นคง และการเป็นที่เคารพยกย่องจากคนในสังคม (ซึ่งก็เป็นสิ่งอันสมควร)
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ จะต้องเสียสละอะไรหลายๆ อย่าง และความรู้สึกอยากช่วยเหลือผู้คน ก็น่าจะต้องมีอยู่ในจิตใจ
...กับผลตอบแทนที่เท่ากัน บางอาชีพอาจใช้เวลางานน้อยกว่า เวลาที่หมอต้องเสียสละให้งาน มากพอสมควร
...จากความต้องการ หรืออาจถึงขั้นขาดแคลน หมออาจต้องเสียสละความสะดวกสบาย ไปทำงานอยู่ในถิ่นที่ไม่เจริญเท่าในเมืองใหญ่

ผมได้เห็นคนที่อยากเป็นนักธุรกิจ แต่มาเรียนหมอเพราะบอกว่า นี่คือความกตัญญู เนื่องจากพ่อแม่พูดให้ได้ยินอยู่ทุกวันว่า อยากให้เป็นหมอ (ใช่ ท่านไม่ได้บังคับ แต่ท่านอาจจะลืมคิดว่า การพูดให้ได้ยินอยู่ทุกวี่วัน มันส่งผลอะไรต่อเด็กบ้าง)
ผมได้เห็นคนที่อยากเรียนวิศวฯ เลือกสอบเข้าหมอ เพราะที่บ้านอยากให้เป้น
ผมได้เห็นคนที่มุ่งมั่นอยากจะเป็นหมอ และสอบได้ตั้งแต่จบม.๔ แต่พอเรียนจบ ยังไม่ทันจะใช้ทุนครบสามปี เขาก็ลาออกมา สมัครเข้าเรียนต่อทางสายธุรกิจ ด้วยเหตุผลว่า เมื่อทำงานเหนื่อยเท่าๆ กัน รายได้ดีกว่าหมอเสียอีก (อย่างที่บอก เป็นหมอต้องทุ่มเวลาให้เยอะพอสมควร ... นี่หมายความว่า เขาคนนั้นเลือกที่จะมาเป็นหมอ เพียงเพราะความร่ำรวยใช่ไหม?)
ผมได้เห็นคนที่เป็นหมอ แต่ไม่ได้ให้ความเอาใจใส่เท่าที่ควรจะเป็นกับอาชีพหลัก(คือหมอ) แต่แบ่งเวลาไม่น้อย ให้กับอาชีพเสริมทั้งหลาย(เล่นหุ้น ทำธุรกิจ ฯลฯ)

อย่าลืมว่า สำหรับผู้ที่เรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยรัฐ เป็นการช่วยเหลือของรัฐ มีที่นั่งสำหรับผู้เรียนจำกัด
คนหนึ่งจับจองที่ไป หมายความว่า ต้องมีคนไม่ได้โอกาส
เมื่อมีคนเลิกประกอบอาชีพหมอ นั่นหมายความว่า รัฐเสียเงินทุนไปฟรีๆ หนึ่งที่ ผู้ที่อยากเป็นหมอด้วยใจจริงหนึ่งคน ที่จะหมดโอกาสไป
(อย่าบอกว่าใช้ทุนคืนเป็นเงิน เพราะยังมีความเสียหายอีกไม่น้อย ที่ตีค่าเป็นเงินไม่ได้)

...
...
...

ผมยังคงเชื่อว่า
หมอ อาจไม่ต้องเป็นคนที่หัวดี มีไหวพริบ ฉลาดเป็นกรด
แต่หมอ ควรจะต้องมีความตั้งใจจริงในการที่จะเป็นหมอ พร้อมที่จะเสียสละเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น

และผมยังคงเชื่อว่า
เราควรจะปรับเปลี่ยนค่านิยมในการประกอบอาชีพของผู้คนกันเสียที
อย่างน้อยที่สุด หากมันเป็นอาชีพสุจริตที่ทำให้คนหาเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้...
...เราก็ควรจะให้การยอมรับกับอีกหลายๆ อาชีพ อย่างที่เขาเหล่านั้นสมควรจะได้รับเสียที...

Thursday, February 16, 2006

ที่นี่หมอชิต...จุดเริ่มต้นของการเดินทาง

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ผมได้มีโอกาสดูรายการทีวี "ที่นี่หมอชิต"
ในรายการ มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่ทางรายการได้ขึ้นไปที่โรงเรียนบนดอย
ที่โรงเรียน มีเด็กอยู่จำนวนหนึ่ง ...ขอโทษ ผมจำไม่ได้ว่าเท่าไร แต่ไม่มากนัก น่าจะประมาณยี่สิบคน
โดยมีครูหนึ่งคน ที่เลือกที่จะเสียสละอะไรบางอย่างสำหรับตัวเอง เพื่อที่จะให้อะไรบางอย่างสำหรับคนอื่น

มีช่วงหนึ่งของรายการ เป็นช่วงที่เหล่าดาราที่ขึ้นไป(มีคุณสัญญา คุณเสนาลิง คุณนุ่น วรนุช คุณหนิง ปณิตา คุณเจี๊ยบ คุณเอมี่)นั่งล้อมวงทานข้าวฝึมือชาวบ้าน
เลยไปถึงช่วงเวลาก่อนนอน คุณสัญญา กับคุณเสนาลิง นั่งคุยกัน
ภาพที่ถูกนำมาเสนอ คงถูกตัดไปตามข้อจำกัดด้านเวลา
แต่ก็พอจะคิดเอาเองได้ว่า ทั้งสองคน คุยกันเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นทุรกันดารแบบนี้
การใช้ชีวิตแบบอยู่เท่าที่มี เท่าที่จำเป็น...

...แล้วความคิดผมก็เริ่มออกเดินทาง...

ภาพเด็กๆ เรียงหน้ากันยิ้มลอดช่องระแนงไม้ของโรงเรียน
ภาพบรรยากาศ สภาพแวดล้อมของพื้นที่
ภาพชาวบ้าน ภาพเหล่าทีมงานของรายการที่ช่วยกันกับชาวบ้านสร้างสิ่งของ
เหล่านั้นล้วนทำให้ผมย้อนนึกกลับไปถึงช่วงเวลาที่ผมได้มีโอกาสไปออกค่ายอาสาพัฒนาชนบททั้งในสมัยที่ยังเป็นนักศึกษาและสมัยที่พ้นสภาพนักศึกษาแล้ว
(หลังจากเรียนจบ หากโอกาสอำนวย ผมก็ยังคงติดตามเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ไปออกค่าย ตามโอกาส)
อันเป็นช่วงเวลาที่มีความรู้สึกดีๆ ซุกซ่อนอยู่ตามซอกหลืบแห่งความทรงจำเต็มไปหมด
ความรู้สึกดีๆ เหล่านั้น อาจเป็นแค่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ... แต่โบราณเขาว่า มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท ...ใช่ไหมครับ :)

บทสนทนาของคุณสัญญาและคุณเสนาลิง ทำให้ผมนึกถึงเหตุผลที่ผมชอบการไปออกค่ายอาสาฯ
มันอาจจะเป็นสิ่งละอันพันละน้อย ที่เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว กลับกลายเป็นก้อนแห่งความรู้สึกที่ทำให้ผมอยากไปค่าย
อย่างหนึ่ง ที่ผมคิดได้ว่า ทำไมผมถึงชอบไปค่าย คือเรื่องที่คุณสัญญาและคุณเสนาลิงพูดถึง ..... การใช้ชีวิตอยู่แบบเท่าที่มี เท่าที่จำเป็น

สำหรับตัวผมเอง หนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผมชอบ ทำให้ผมหาโอกาสไปออกค่ายฯ อยู่เรื่อยๆ นั่นก็เพราะผมจะได้ดึงสติตัวเองกลับมา
หลังจากที่ผมอาจจะหลงใหล ฟุ้ง ไปกับหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง กับชีวิตในเมืองใหญ่ จนหลงลืมหรือละเลยความต้องการที่แท้จริงของตัวเองไป
ช่วงเวลาที่ผมได้ไปออกค่าย ผมเหมือนได้พาตัวเองไปใช้ชีวิตอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ที่ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิต ทุกๆ อย่าง ที่แตกต่างจากสังคมเมืองที่ผมเกิดและเติบโตมาอย่างสิ้นเชิง

มันช่วยให้ผมได้เห็นว่า เขาก็อยู่กันแค่นี้ อยู่ได้อย่างมีความสุข
มันช่วยให้ผมได้ย้อนกลับมาถามตัวเองว่า ต้องการอะไรบ้างในชีวิต อะไรที่จะทำให้เรามีความสุข
มันช่วยให้ผมได้เตือนตัวเองว่า อะไรที่เราหลงไป อะไรคือความสุขเพียงผิวเผิน ฉาบฉวย อะไรที่ไม่ใช่สิ่งที่ผมแสวงหา
มันช่วยดึงผมให้กลับมามอง มาคิด ถึงการอยู่แบบ"น้อยที่สุด" เท่าที่ตัวผมจะมีความสุขได้

ผมได้แต่ภาวนาว่า การเดินทางไปออกค่ายฯ แบบนี้ จะยังอยู่กับชีวิตของผมเรื่อยๆ ไป
เนื่องว่ามันเป็นตัวช่วยในการเดินทางของชีวิตของผม ...การเดินทางเพื่อตามหาอะไรบางอย่าง
...อะไรบางอย่างที่จะทำให้ผมได้พบกับความสุขที่แท้จริง อย่างที่ผมต้องการ

ผมได้แต่ภาวนาว่า การเดินทางของชีวิตผม จะไปถึงจุดหมายแห่งชีวิต ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

Tuesday, January 31, 2006

ให้หัวใจได้หยุดพัก

เวลาไม่สบาย เราทำอย่างไรกันครับ?
ถ้ามันไม่หนักหนานัก เช่น ปวดหัว มีไข้นิดๆ อ่อนเพลีย
วิธีง่ายๆ ก็คือพักผ่อนใช่ไหมครับ
ร่างกายเรา เวลาถูกใช้งานหนักๆ ฤว่ามีอะไรผิดปกติ
เราก็ควรให้มันได้หยุด เพื่อพักฟื้นบ้าง

ใครๆ ก็บอกว่า สุขภาพต้องมาก่อน
ร่างกายเรา เราก็ควรจะดูแลให้ดีๆ
แล้วสุขภาพใจล่ะ เราดูแลกันดีแค่ไหน

...
...
...

ไม่กี่วันมานี้ ผมได้คุยกับเพื่อนสาวคนหนึ่ง

ผมและเธอ รู้จักกันมาเกือบสามปี
ช่วงต้นของการรู้จักกัน เราเหมือนคุยกันง่าย สนิทกันค่อนข้างเร็ว
จากนั้นเราก็ขาดการติดต่อกันไปนานพอสมควร
แล้วเมื่อสักสองสามเดือนมานี้ ผมและเธอได้กลับมาคุยกันมากขึ้น
เธอบอกผมว่า เธอเลิกกับแฟนที่คบกันมานาน เลิกมาได้สักประมาณเดือนหนึ่ง
แล้วตอนนี้ เธอก็กำลังมีคนที่คุยๆ ทำความรู้จักกันอยู่

ไม่นานนักหลังจากนั้น ผมก็ได้รับรู้จากเธอว่า ผู้ชายคนนั้น มีแฟนอยู่แล้ว แต่มาหลอกเธอ
เธอจึงเลิกยุ่งเกี่ยวไป

อีกไม่นานถัดมา เธอก็ได้รู้จักกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง
ทั้งสองสนใจกัน และก็เริ่มที่จะทำความรู้จักสนิทสนมกัน

วันหนึ่ง เธอพูดกับผมว่า เธอกลัว
เธอไม่แน่ใจว่า ผู้ชายคนนี้ คนล่าสุดนี้ จะจริงจังกับเธอแค่ไหน
เธอบอกกับผมว่า เธอไม่อยากถูกหลอกอีก เพราะเพิ่งผิดหวังมาสองครั้งติดๆ กับความรัก (ถึงแม้ว่า ครั้งที่สอง จะยังไม่ถึงขั้นรักก็ตามที)
เธอยังบอกอีกว่า ตอนนี้เธออ่อนแอ ไม่อยากถูกหลอก ไม่อยากเจออะไรแย่ๆ อีก

...
...
...
บางครั้ง ผมรู้สึกแปลกใจ
ทำไมบางคน เมื่อผิดหวังกับความรัก ถึงได้ต้องการหาใครสักคนอย่างเร่งด่วน
ราวกับว่า มันจะเป็นยาขนานเอก ที่จะช่วยรักษา และขจัดอาการป่วยไข้ของหัวใจไปได้เป็นปลิดทิ้ง
ทั้งๆ ที่ จริงๆ แล้ว เราเองก็ยากที่จะรู้ได้ว่า เราเลือกยาถูกขนานแน่ฤเปล่า หรือเราจะไม่แพ้ยาขนานนั้นแน่ๆ

ตัวผมเอง กับสุขภาพกาย ถ้ามันไม่หนักหนานัก ผมไม่ชอบที่จะกินยา
ผมเลือกที่จะใช้วิธีการง่ายๆ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะๆ
ผมเลือกที่จะพักร่างกาย เพื่อให้มันฟื้นตัว กลับมาแข็งแรงเหมือนเวลาปกติ
เพราะผมเชื่อว่า ร่างกายเรา ย่อมรู้ดีที่สุด และเชื่อว่า มันมีกระบวนการที่จะรักษา และฟื้นคืนด้วยตัวของมันเอง
ในขณะที่ยา ผมมองมันเป็นสารเคมี และผมก็กลัวว่า มันจะมีผลข้างเคียง ไม่มากก็น้อย ไม่ช้าก็เร็ว

ทำไม กับสุขภาพหัวใจ เราไม่ปล่อยให้มันได้หยุดพักผ่อนบ้าง หลังจากเพิ่งผ่านพบเรื่องหนักๆ มาไม่นาน
ปล่อยให้มันค่อยๆ ฟื้นคืน จนเริ่มแข็งแรงดังเดิม จนรู้สึกได้ว่าพร้อมที่จะพบเจอในสิ่งต่างๆ ทั้งดีและร้าย จึงค่อยปล่อยให้มันทำหน้าที่ของหัวใจต่อไป
เพราะเราเองก็คงยากที่จะรู้ว่า การเดินทางครั้งใหม่ของหัวใจ มันจะไปเจอกับเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ฤว่าต้องไปลุยป่าฝ่าดงที่มีแต่ขวากหนาม
การที่จะทำให้สุขภาพใจพร้อมรับกับทุกสถานการณ์ บางทีการพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนการเดินทางครั้งใหม่ น่าจะเป็นวิธีที่ดีอยู่ไม่น้อย
แล้วทำไม เราไม่เลือกที่จะปล่อยให้หัวใจได้หยุดพักบ้าง

...
...
...

วันนั้นผมบอกเธอไปว่า
ถ้ารู้ว่ายังอ่อนแอ ทำไมไม่หยุดพักข้างทางสักหน่อย
ให้หัวใจได้พักสักระยะ จนเมื่อรู้สึกว่าแข็งแรงขึ้นเมื่อไร ก็ค่อยเริ่มเดินทางต่ออีกหน

เธอไม่ได้ตอบมา ว่าเธอจะเลือกที่จะเดินต่อ หรือเลือกที่จะหยุดพัก
แต่ไม่ว่าเธอจะเลือกทางไหน ผมก็ขออวยพรให้หัวใจของเพื่อนผม ยังแข็งแรงพอที่จะรับมือกับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น

แล้วถ้ามีเวลา อย่าลืมหาวันหยุดให้หัวใจได้หยุดพักกันบ้าง