Sunday, October 29, 2006

"รสนิยม"

วันนี้ผมมีความสุข ที่ได้ลองเดินตามทางที่เป็น"รสนิยม"ของตัวเอง
แม้มันจะดูเสี่ยง แต่ผมตัดสินใจเดิมพันกับความเสี่ยงนั้น
เปล่า ผมไม่ได้บ้าบิ่น ...แม้จะต้องยอมรับว่ามันมีความเสี่ยงอยู่ แต่ผมคิดทบทวนเป็นอย่างดีแล้ว
รวมถึงความโชคดีที่ผมมีคนแนะนำและช่วยเหลือ ...เรียกว่าเป็น contact/connection ที่ดีมากเลยก็ได้
(ใครก็ได้ช่วยคิดคำในภาษาไทยให้ผมที แทนคำว่า contact/connection นี้ ...หงุดหงิดตัวเองที่ไม่สามารถคิดออกมาได้ในขณะนี้)
ทำให้ผมพอจะมองเห็นว่า เส้นทางนี้ มันก็ไม่ตีบตันเสียเท่าไร
กลับกัน โอกาสที่ผมมี อาจจะนำพาผมไปสู่ปลายทางที่ผมพอใจได้ไม่ยาก

หลายครั้ง ผมอยากให้คนที่ผมรู้จักคุ้นเคย ได้สัมผัสกับความสุขที่ได้เดินทางไปตามความต้องของตัวเอง
ผมแนะนำ กระตุ้น ให้กำลังใจ กับหลายใครที่เคยมาขอความเห็นจากผม ถึงสิ่งที่จะเลือกทำ ถึงทางที่จะเลือกเดิน
ผมชูสุดสองแขน สนับสนุนให้เดินไปตามทางที่ตัวเองต้องการ
เพราะผมเอง เคยสั่นไหว เมื่อหลายใครบอกว่า คิดดีแล้วหรือ ที่จะละทิ้งสิ่งที่มั่นคงและเห็นอนาคตที่ดีรออยู่ แล้วเปลี่ยนเส้นทาง เดินไปบนเส้นทางที่ไม่รู้ว่ามันจะพาผมไปได้ไกลแค่ไหน
แต่ด้วยความเห็นจากหลายคนที่บอกว่าเป็นการตัดสินใจที่หาญกล้า (รู้ไหม? ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนต่างชาติ) ผมอยากจะขอบคุณเขาเหล่านั้น
เปล่าผมไม่ได้ตัวลอยพระคำชม ...เพียงแต่มันเป็นกำลังใจที่ดีมากๆ ในการเดินทางบนเส้นทางใหม่ครั้งนี้
ผมเองจึงอยากเป็นกำลังใจให้ใครต่อใครบ้าง หากเขากำลังรวบรวมความกล้า ออกเดินทางบนหนทางใหม่ที่ไม่ได้คุ้นเคยหรือรู้จักเป็นอย่างดี
อยากบอกเขาเหล่านั้นว่า การได้เดินตามเสียงของหัวใจตัวเองนั้น เป็นความสุข
ผมค้นพบ หลังจากเลือกเดินตามเสียงของหัวใจผมเอง

แต่...
บางคน ก็ยินดีที่จะเลือกเส้นทางเดินของตัวเอง ตาม"รสนิยม"ของสังคม
หากสังคมยอมรับ ว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนี้ควร เขาเหล่านั้น ก็พร้อมที่จะเดินไปตามเส้นทางนั้น
เอ... ฤนั่นคือความสุขของเขา ที่ได้เป็นส่วนหนึงของ "รสนิยม" ของสังคม
เพราะความสุขของบางใคร อาจหมายถึงการได้ที่เป็นยอมรับของคนในสังคมก็เป็นได้

...เพราะ"รสนิยม"ของเราอาจไม่เหมือนกัน...

Saturday, October 28, 2006

"sorrow'



ได้รูปนี้มาเมื่อวานนี้
เห็นแล้วผมชอบมาก ตั้งชื่อให้มันว่า "sorrow" และใช้มันเป็น wallpaper/background ของหน้าจอคอมพิวเตอร์ laptop ของผมเครื่องนี้
มันชวนให้ผมนึกถึงบางอารมณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวผม

เชื่อไหม... บางชั่วขณะ เห็นมันแล้วผมอยากร้องไห้

คำถามที่เกิดขึ้นในใจ...
...ผมจะอยู่ในห้วงอารมณ์ "sorrow" แบบนี้อีกไหม?
...ในห้วงอารมณ์นั้น(หากมี) ผมจะรับมือกับมันได้ดีแค่ไหน?

...ผมไม่กล้าตอบตัวเองจริงๆ...

บันทึกงี่เง่า บรรเทางุ่นง่าน [27 ตุลาคม 2549]

วันนี้ ผมไปทำงาน(เป็นพนักงานในร้านอาหาร)ตามปกติของชีวิตผมที่เมือง Falmouth นี้ (ทำงาน พุธ ศุกร์ เสาร์, หนึ่งทุ่มถึงห้าทุ่ม)
ในร้านอาหารทีี่ผมทำงานอยู่ มีคนไทยอยู่ด้วยกันทั้งหมดห้าคน นับรวมตัวผมเองด้วย

นอกจากตัวผมเอง ก็มีพี่เจ้าของร้านหนึ่ง(สามีเป็นคนอังกฤษ) พี่ๆ คู่สามีภรรยาที่ช่วยกันทำอาหาร(สามีเป็นพ่อครัว ภรรยาเป็นผู้ช่วย)อีกสอง และพี่คนไทยที่แต่งงานกับสามีชาวอังกฤษแล้วมาอยู่ที่เมืองนี้อีกหนึ่ง(ตามที่พี่เขาบอก เขามาทำงานแก้เบื่อ)
พี่เจ้าของร้านใจดี เป็นกันเอง ชวนให้ผมไปกินข้าวที่ร้านบ่อยๆ
(ความจริง เขาบอกให้ไปกินทุกวันได้เลย จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อ... แต่ผมเกรงใจ นอกจากวันที่ทำงานแล้่ว ผมก็แวะไปฝากท้องบ้างในบางครั้งคราว แต่ไม่ได้ไปทุกวันตามคำชวนของพี่เขา)
พีๆ คู่สามีภรรยา ก็ใจดี ให้ความเอ็นดูผม ทั้งสองคนดูเป็นคนซื่อๆ ทั้งคู่... ก่อนมาที่นี่ เพื่อนหลายคนเตือนผมว่า ถึงจะเป็นคนไทยด้วยกันก็อย่าไว้ใจ
ผมรับรู้และเข้าใจ... แต่จากที่รู้จักกันมาประมาณหนึ่งเดือน ผมว่าเขาทั้งคู่ไม่มีพิษภัยจริงๆ
พี่อีกคนหนึ่งทีเหลือ เป็นคนที่ผมไม่ค่อยถูกชะตาด้วยนัก จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผมรู้สึกลึกๆ ว่าเขาไม่ใช่คนจริงใจนัก และยังมีบุคลิก รวมถึงนิสัยหลายๆ อย่าง ที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไร จึงไม่ได้อยากไปข้องเกี่ยวอะไรมากนัก นอกจากเวลาไปเจอก็พูดคุยหัวเราะกันตามปกติ
และพี่คนนี้ก็เป็นที่มาของบันทึกในวันนี้

...
...
...

ที่ร้านอาหาร มีนักศึกษามาทำงานพิเศษเหมือนกันกับผมอีกหนึ่งคน เป็นชาวญี่ปุ่น ...จนถึงวันนี้ เธอเพิ่งจะเริ่มงานได้สามสัปดาห์
เธอเองยังคงทำงานไม่คล่อง และมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง แต่นั่นคงเป็นเพราะความใหม่ต่องานประการหนึ่ง
รวมถึงความจริงที่ว่าเราไม่ได้พูดจาภาษาเดียวกัน จึงทำให้ในหลายครั้งเธอก็ไม่ได้แสดงประสิทธิภาพในการทำงานอย่างที่ถูกคาดหวัง
ถึงอย่างนั้น หากตัดความจริงทั้งสองข้อนั้นออกไป เธอเองก็ดูจะเงอะงะ และขาดไหวพริบอยู่เหมือนกัน
(จนบางครั้งผมแปลกใจว่า ก็ในเมื่อเธอเคยทำงานเป็นบริกรในห้องอาหารที่รับจัดเลี้ยง - ถึงแม้จะต่างกันตรงที่ว่า ห้องอาหารที่รับจัดเลี้ยง อาหารจะถูกสั่งไว้ล่วงหน้า และทุกอย่างจะถูกเตรียมการไว้หมดแล้ว ซึ่งง่ายกว่าการทำงานในร้านอาหารตามปกติแบบนี้ - เธอน่าจะทำงานได้คล่องกว่านี้)
ผมเริ่มได้ยินพี่ที่เป็นผู้ช่วยพ่อครัวพูดถึงการที่เธออาจจะไม่ผ่านการทดลองงาน (พี่เขาก็อยากช่วย แต่ก็จนใจ เนื่องจากข้อจำกัดในเรื่องภาษาของพี่เขา)
อย่างไรก็ตาม ผมก็รู้สึกว่า เธอมีความตั้งใจในการทำงานอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ส่วนเรื่องความสามารถความเหมาะสม ก็ปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของพี่เจ้าของร้านไป

วันนี้... ขณะกำลังทำงาน ผมได้ยินพี่คนที่ผมไม่อยากข้องเกี่ยวด้วยนัก บ่นออกมาดังๆ ให้ทุกคนฟัง ถึงความผิดพลาดของนักศึกษาญี่ปุ่นคนนั้น
ได้ยินแล้วผมรู้สึกแย่... พี่คนนี้มักจะเป็นอย่างนี้เสมอ ยกหางตัวเองก็หนึ่ง เอาความผิดพลาดของคนอื่นมาตอกย้ำอีกหนึ่ง
ผมรู้สึกว่า ทุกสิ่งที่พี่เขาทำนั้น เป็นความต้องการที่จะทำให้ตนเองดูมีคุณค่า มีคุณภาพ ในสายตาของทุกๆ คนในร้าน
ทั้งๆ ที่ ผมเองกลับรู้สึกว่า ตัวพี่เขาเองนั่นแหละ ที่ไม่เหมาะจะมาทำงานบริการ ในเมื่อเขาไม่ได้มีสำนึกใน "service mind" ในระดับที่ควรจะมี(ตามความคิดของผม)

ผมเบื่อคนแบบนี้จริงๆ

...
...
...

แน่นอน ในหน้าที่การงาน ใครๆ ก็อยากก้าวหน้า อยากให้ทุกคนเห็นว่า ตนเองมีประสิทธิภาพ
เพียงแต่ วิธีการที่ผมเชื่อมั่น ก็คือ การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ต้องคิดว่าจะแข่งกับใคร นอกจากตัวเอง และตัวงาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องไม่จงใจเหยียบคนอื่น เพื่อให้ตัวเองขึ้นไปสู่ที่สูงอย่างที่ต้องการ

ความก้าวหน้าของเรา ในทางกลับกัน มันก็อาจเป็นความตีบตันสำหรับคนอื่นได้
เพียงแต่นั่นคือความจริงของระบบที่ผมคิดว่าเราต้องยอมรับ ...ยอมรับในความสามารถและอะไรหลายๆ อย่าง

มันถูกแล้วหรือ ที่เราพยายามตอกย้ำในความผิดพลาดล้มเหลวของเพื่อนร่วมงาน
เพียงเพื่อจะใช้เขาเป็นฐานให้เราเหยียบ เพื่อความก้าวหน้าของเราเอง

ผมเกลียดคนแบบนี้จริงๆ

...
...
...

มันจะดีกว่าไหม หากเราต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานในความรับผิดชอบของเราให้ดีที่สุด แสดงศักยภาพ ประสิทธิภาพของเราออกมาให้มากที่สุด
แล้วเรื่องของความก้าวหน้า ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่การตัดสินใจของผู้ที่อยู่ในสายการบัญชาที่เหนือกว่า
มันจะดีกว่าไหม หาเราต่างก็ยอมรับในหความก้าวหน้าของผู้อื่นหาเขามีประสิทธิภาพมากกว่า
และจะดียิ่งไปกว่านั้น หากเรายินดีในความสำเร็จที่เขามี
เพราะสุดท้าย ลาภ ยศ สรรเสริญ มันก็เป็นเพียงสิ่งที่ลวงตาทั้งนั้น
เราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สงบ และไม่เบีียดเบียนกัน จะดีกว่าไหม?

...make it a fair game...

Wednesday, October 18, 2006

บันทึกงี่เง่า บรรเทางุ่นง่าน [17 ตุลาคม 2549]

จะทำยังไงดีวะ?

ความกลัวเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มรู้สึกว่า ทักษะภาษาอังกฤษที่มี มันไม่พอสำหรับการเรียนรู้ครั้งใหม่นี้ซะแล้ว
(ไอ้ผลสอบ IELTS ที่บอกว่าเราอยู่ในระดับ 7 มันไม่เห็นจะวัดอะไรได้เลย มันเชื่อถือได้ไหมนี่?)
กว่าจะพัฒนาให้ดีขึ้น ดีขึ้น... ไม่รู้เมื่อไร... เมื่อไรถึงจะดีพอ ดีพร้อม
ไม่รู้จะพลาดอะไรไปมากมายแค่ไหน

จะทำยังไงดีวะ?




ปล.

"บันทึกงี่เง่า บรรเทางุ่นง่าน" เป็นหัวข้อที่ผมคิดขึ้นมา เพื่อใช้ในการบันทึกความรู้สึกในบางชั่วขณะของชีวิต
ครับ มันเป็นบันทึกเรื่องราวงี่เง่าๆ ของตัวผมเอง
แต่ผมต้องการเนื้อที่ระบายออก เพื่อที่จะบรรเทาความรู้สึกงุ่นง่านบางอย่างจากข้างใน
ทนๆ อ่านความงี่เง่าๆ ของผหน่อยละกันครับ
ถ้าทนไม่ได้ ก็กรุณาข้ามไป เมื่อเห็นชื่อหัวข้อนี้

dependent - independent - interdependent

[คัดลอกมาจาก http://theaestheticsofloneliness.blogspot.com/ อีกที]

"ตอนต้นปีที่ผ่านมา ผมได้ไปสัมภาษณ์วิศิษฐ์ วังวิญญู เรื่องหนังสือเล่มใหม่ของเขา ที่ชื่อว่าสุนทรียสนทนา
เขาพูดไว้ประเด็นหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก เขาบอกว่าชีวิตคนเรามีพัฒนาการอยู่ 3 ขั้น
คือ dependent - independent - interdependent
เริ่มต้นจาก dependent ที่ในวัยเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงช่วงปฐมวัย เรายังต้องพึ่งพาอาศัยการเลี้ยงดูและความมั่นคงทางจิตใจจากพ่อแม่ ครูอาจารย์
พอเข้าสู่ขั้น independent คือในช่วงวัยหนุ่มสาว ที่เราจะต้องพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง ยืนหยัดใช้ชีวิตให้ได้ด้วยตัวเอง แสวงหาอุดมคติของความเป็นปัจเจกชน และทนต่อความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา
เมื่อเราอยู่ได้อย่าง independent จึงเข้าสู่พัฒนาการขั้นที่ 3 คือ interdependent ชีวิตที่แข็งแกร่งมั่นคง ตัวตนที่เต็มเปี่ยม ไม่ได้ขาดพร่องจนต้องรอผู้อื่นมาเติมเต็ม และยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง
ในขั้นนี้ เราจึงจะเป็นผู้เลือกเอง ว่าจะเข้าไปมีความสัมพันธ์กับใคร
ผมเข้าใจว่าชีวิตต้องมาถึงในขั้นตอนนี้ เราจึงจะสามารถเข้าใจเรื่องความรักและมิตรภาพ ได้อย่างแท้จริง
เราไม่ได้ "รัก" เพื่อน แฟน หรือเมีย เพียงเพราะว่าเราต้องการใครมาช่วยเติมชีวิตที่ขาดพร่อง และไม่มีความเป็นตัวของตัวเองของเรา"

...
...
...

อ่านแล้วก็ให้นึกถึงชีวิตตัวเอง
ตอนนี้ ตัวเราอยู่ในระดับขั้นไหน?

จะบอกว่า dependent ก็อาจใช่
ในเมื่อเงินทองที่ใช้เป็นค่าเล่าเรียน ค่าเดินทาง ค่ากินอยู่สำหรับชีวิตในประเทศอังกฤษนี้ ผมไม่ได้หามาได้ด้วยตัวเอง
(แม้ว่า ถึงเวลานี้ ผมจะมีงานพิเศษนอกเวลา เพื่อหารายได้มาเป็นค่ากินอยู่ก็ตาม)

จะบอกว่า independent ก็มีส่วน
ในเมื่อผมเอง ก็มีแนวทาง ความคิดแห่ง อุดมคติของความเป็นปัจเจกชนอยู่บ้าง (หากผมเข้าใจความหมายของคำนี้ไปในทิศทางเดียวกันกับเจ้าของบทความข้างบน)
และผมก็มั่นใจว่าผมพัฒนาความเป็นตัวของตัวเองมาระดับหนึ่ง(อาจยังไม่สุด)
ที่มั่นใจที่สุด... ผมทนต่อความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาได้ (บทพิสูจน์จากช่วงเวลาใน Wismar, Germany หรือแม้แต่บางช่วงเวลาที่นี่ Falmouth, UK)

จะบอกว่า interdependent ก็ไม่กล้าที่จะอวดอ้าง? (ไม่ทราบ... แต่สำหรับผม ระดับขั้นนี้ มันดูสูงส่งอยู่ไม่น้อย)
แต่ผมแน่ใจว่า ผม"เป็นผู้เลือกเอง"ว่าจะเข้าไปมีความสัมพันธ์กับใคร? (ในความหมายรวมทุกความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็น คนรัก เพื่อน ฯลฯ)

ถ้าจะต้องให้คำตอบกับตัวเองจริงๆ
ผมคงอยู่ในรอยต่อของระดับ dependent ที่กำลังก้าวเข้าสู่ independent โดยมี interdependent เป็นเป้าหมาย ล่ะมั้ง

ผมยังคงหาเลี้ยงตัวเองไม่ได้... แต่ผมกำลังเดินตามเส้นทางที่ผมคิดไว้แล้วว่า มันจะพาไปสู่จุดนั้น
ผมยังคงไม่มั่นคงถึงที่สุด ในความเป็นตัวของตัวเอง ในอุดมคติของความเป็นปัจเจกชน... แต่ผมรู้ว่าผมมีมันเป็นแรงขับอยู่ข้างใน (นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผม เป็น อยู่ อย่างทุกวันนี้)
ผมยังคงไม่มีชีวิตที่แข็งแกร่งมั่นคง ตัวตนที่เต็มเปี่ยม... แต่ทางที่ผมเลือกเดินมา ผมคิดว่ามันจะพาผมไปสู่จุดนั้นได้

...
...
...

สำหรับผม ที่สุดแล้ว มันไม่ได้สำคัญว่า เราจะไปอยู่ในระดับไหน
มันไม่ได้บ่งชี้ว่า เราดีกว่าคนอื่นๆ

สำหรับผม สำคัญเพียงว่า
เรารู้ว่าเราเดินมาตามเส้นทางไหน
เรารู้ว่าเรากำลังเดินอยู่บนเส้นทางช่วงไหนของชีวิต
เรารู้ว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปยังจุดหมายใด

...ขอเพียงเรามีสติ รับรู้ เข้าใจ ในวิถีของตัวเรา...

Sunday, October 01, 2006

เรือนไม้สีเบจ

...สวรรค์ส่งเรามาเกิดเพียงครึ่งเดียว ปล่อยอีกครึ่งหนึ่งของตัวเราไว้ที่ไหนก็ไม่รู้บนโลกกลมๆ ใบนี้
จิตวิญญาณของเรา จึงไขว่คว้าหาใครสักคนที่จะมาทำให้ชีวิตของเราเต็มบริบูรณ์
เสาะหา ติดตาม จนกระทั่งได้พบ ในวงแขนของกันและกัน...

...ด้วยเหตุนี้ คนเรากอดตัวเองไม่พอ
เราต้องกอดใครอีกสักคน แล้วให้เขากอดเราตอบ
...อ้อมแขนถึงจะสมบูรณ์...

- ว.วินิจฉัยกุล : เรือนไม้สีเบจ -