Sunday, October 21, 2007

ชนใดไม่มีดนตรีกาลในสันดานเป็นคนชอบกลนัก

คืนวันเสาร์ ผมเสร็จจากงานเสิร์ฟตอนห้าทุ่มกว่า
เซ็งนิดหน่อยที่ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นที่พี่ๆ ในครัวอุตส่าห์จัดใส่กล่องไว้ให้กลับไปกินที่บ้าน เนื่องด้วยรู้ว่าผมชอบกินเนื้อมาก ถูกเจ้าแดเนียล คนขับรถส่งอาหาร หยิบถุงผิดกลับไป คงเหลือไว้แต่ไก่ผัดกระเทียมพริกไทย(และข้าวผัดไข่)ไว้ให้ผมได้เอากลับบ้านแทน
ด้วยความเซ็ง ในขณะที่ผมกำลังจะขึ้นอันเดอร์กราวนด์จากสถานีโอลด์สตรีท เดินผ่านโฮมเลส(ซึ่งมีอยู่ทุกทางเข้าของสถานีนี้เป็นประจำทุกค่ำคืน)ผมจึงยื่นอาหารให้เขา
โฮมเลสพูดขอบคุณ
ในชั่วขณะแรก ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แค่เกิดความเซ็ง ที่ไม่ได้กินของที่อยากกิน แต่กลับได้ของ"ดาดๆ"กลับมาแทน เลยประชดด้วยการไม่เอามันซะเลยดีกว่า
แต่เพียงไม่กี่วินาทีที่ได้เห็นสีหน้าดีใจของโฮมเลสคนนั้น มันทำให้ผมได้รู้จักคิดอะไรมากขึ้น
ผมรู้สึกหายเซ็งเรื่องเนื้อตุ๋นเป็นปลิดทิ้ง
ผมแค่ไม่ได้กินของที่อยากกิน แต่กับบางคนแม้ของที่ไม่อยากกินก็อาจช่วยให้เขาอิ่มและมีความสุขไปได้อีกหนึ่งมื้อ
ของที่ผมไม่ต้องไปลำบากลำบนอะไรนักเพื่อที่จะได้มันมา อาจมีค่ามากๆ กับคนบางคน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่ค่าครองชีพสูงติดอันดับโลกอย่างมหานครลอนดอนนี้
...
...
...

เรื่องราวของค่ำคืนนี้สำหรับผมยังไม่จบ

ผมจับรถไฟอันเดอร์กราวนด์ไปที่สถานีแคมเดน ด้วยหวังว่าเพื่อนๆ ที่เรียนมาด้วยกันที่ฟาลมัธจะยังคงสังสรรค์กันต่อ ณ ที่ใดที่หนึ่งในละแวกนั้น
กลับกลายเป็นว่างานเลี้ยงเลิกราเร็วกว่าที่ผมอยากให้เป็น ผมจึงต้องจับรถไฟอันเดอร์กราวนด์กลับบ้านที่สถานีคอลเลียร์สวูด

เรื่องราวที่ทำให้ผมอารณ์ดีมากๆ ในรอบหลายวัน(และเป็นที่มาของชื่อเรื่อง)เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางเที่ยวนี้...

ระหว่างกำลังรอเปลี่ยนรถในสถานียูสตัน ผมสังเกตเห็นชายคนหนึ่งสะพายกีตาร์โปร่งโทรมๆ ตัวหนึ่ง
สักพัก เขาก็ดีดกีตาร์และร้องเพลงเสียงดังลั่นชานชาลา
ดังซะจนผมต้องกดปุ่มหยุดที่เครื่องเล่นซีดีและเงี่ยหูฟังเสียงเพลงจากชายคนนั้น
"ไม่เลวแฮะ" ...ผมคิด

หลังจากพาตัวเองขึ้นไปบนรถไฟ ผมพบว่าชาย(ไม่ค่อย)หนุ่มวณิพกคนนั้นขึ้นรถไฟตู้เดียวกับผม
คราวนี้ผมถึงกับถอดหูฟังออกจากหูผม แล้วตั้งใจฟังเพลงที่ชายคนนั้นบรรเลง
ด้วยกีตาร์เก่าโทรม ผุพัง และมีเทปกาวปะไปทั่ว สายกีตาร์ระเกะระกะ เสียงเพลงสไตล์ร็อคแอนด์โรลในแบบคล้ายๆ กับเอลวิสที่เขาเล่นกลับฟังดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
เสียงร้องของเขาเองก็ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

หลังจากจบเพลงสั้นๆ ที่เขาเล่น เขาพูดเสียงดังฟังชัด ประมาณว่า จบเพลงสำหรับเอนเตอร์เทนในค่ำคืนนี้แล้ว หากจะมีใครคิดจะให้เงินกับกีตาร์แมนคนนี้ก็เชิญเลยครับ
ด้วยสีหน้าอิ่มสุขทั้งตอนที่เขาเดี่ยวกีตาร์และตอนที่เขาเดินขอ ...ไม่สิ... ผมไม่อยากใช้คำว่า"ขอ"
เอาเป็น...
ด้วยสีหน้าอิ่มสุขทั้งตอนที่เขาเดี่ยวกีตาร์และตอนที่เขาเดินรับสิ่งแลกเปลี่ยน(ด้วยความสมัครใจ)สำหรับความบันเทิงเล็กน้อยที่เขาเสนอให้ มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาอย่างค่อนข้างน่าประหลาดใจ
(หากนึกถึงความรู้สึกเซ็งในตัวเองและในชีวิตที่เสนอหน้ามาบ่อยๆ (จนผมเหม็นหน้ามัน)ในระยะหลังนี้ และเรื่องเล็กน้อยอย่างก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นที่กล่าวถึงข้างต้น)

ผมได้เพียงแค่ยิ้มให้เขา เมื่อคิดถึงสถานการณ์ทางการเงินที่ผมเองก็เผชิญอยู่ในมหานครแห่งนี้... ทั้งที่ในใจก็นึกหวัง อยากให้คุณวณิพกคนนี้ได้ค่าตอบแทนจากความบันเทิงที่เขาหยิบยื่นให้บ้าง
(หากใครเคยมาเยี่ยมเยียนลอนดอน คงนึกภาพออกว่าอันเดอร์กราวนด์ของที่นี่ มันเก่าและซ่อมซ่อแค่ไหน ยิ่งตอนเที่ยงคืนหรือหลังจากนั้น ตอนที่คนน้อยๆ และเกือบทุกคนเหนื่อยกับวันหนักๆ ของตนเองมา บวกรวมเข้ากับความสกปรกรกรุงรังจาก ขยะ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร กล่องอาหาร ขวดน้ำ ขวดเบียร์ กระป๋องน้ำอัดลม ฯลฯ ...ทุกอย่างไม่ได้ช่วยให้ก่อเกิดบรรยากาศอันน่ารื่นรมย์เลยแม้แต่น้อย)
ผู้ชายเอเชียคนที่นั่งข้างๆ ผม ล้วงมือในกระเป๋าสะพายของเขา ในชั่วขณะที่ชายวณิพกเดินมาถึง
วณิพกหยุดยืนรอ สีหน้าคาดหวังถึงสิ่งแลกเปลี่ยนที่เขากำลังจะได้
ผมหยุดสายตาไว้ที่ชายทั้งสอง แอบดีใจแทนวณิพก ที่เขากำลังจะได้สิ่งตอบแทนที่(ผมคิดเองเออเอง)ว่าเขาสมควรได้
แต่หลังจากที่ชายวณิพกหยุดยืนรอได้สักพัก ภาพที่เห็นคือชายชาวเอเชียคนนั้นหยิบซองทิชชูแบบเปียกที่ใช้ทำความสะอาดขึ้นมา และหยิบใช้

ในแวบความคิดแรก ผมสบถในใจ

ไม่มีทางที่ชายชาวเอเชียคนนั้นจะไม่เห็นว่าวณิพกหยุดยืนรอสิ่งแลกเปลี่ยนจากเขา
แล้วทำไมเขาปล่อยให้ชายวณิพกหยุดยืนรอด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมจนล้นออกมาทางสีหน้า
ผมหงุดหงิด (ทั้งๆ ที่ในภายหลัง เมื่อมาคิดดูแล้วก็ไม่ใช่ความผิดอะไรของชาวเอเชียคนนั้น ผมมีสิทธิอะไรไปหงุดหงิดเขา โดยที่ผมเองก็ไม่ได้คิดจะให้ส่ิงตอบแทนแก่ชายวณิพกเหมือนกัน)

สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจมากกว่าการที่จู่ๆ ผมก็อารมณ์ดีขึ้นมาเฉยๆ เพียงแค่ได้ฟังเสียงเพลงสั้นๆ จากชายวณิพก ก็คือสีหน้าของเขา เมื่อได้รู้ว่า ความความหวังที่เขามีจากชายชาวเอเชียเป็นเพียงเขา(ไม่สิ ผมก็ด้วย)ที่คิดไปเอง
ผมประหลาดใจที่เขาไม่ชักสีหน้าผิดหวัง หงุดหงิด ไม่พอใจ ใดๆ ทั้งสิน
ตรงกันข้าม ...เขายิ้ม ยิ้มและผละจากชายชาวเอเชีย เดินต่อไปเผื่อจะมีใครในตู้รถไฟตู้นั้นอยากให้สิ่งแลกเปลี่ยนกับเขาบ้าง

สาบานได้ว่า มันเป็นสีหน้าและรอยยิ้มของคนมีความสุข

ผมอึ้งไปหลายวินาที สมองเริ่มคิดไปเรื่อยเปื่อย...
ชายวณิพก... ดูจากสภาพภายนอก เนื้อตัวที่มอมแมมอยู่บ้าง เสื้อผ้าที่ดูเก่าและไม่มีราคาเท่าไร ผิวหนังที่ดูหยาบกร้าน
แน่นอน เขาคงต้องปากกัดตีนถีบ เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่รอดในเมืองหลวงแห่งนี้
แทนที่เขาจะหิวกระหายแค่เม็ดเงิน ด้วยว่ามันเป็นสิ่งที่จะทำให้เขาประทังชีวิตของเขาต่อไป กลับกลายเป็นว่าเขาเสนอความบันเทิงให้ผู้คนด้วยเต็มใจ
จะได้สิ่งตอบแทนจากผู้คนฤไม่ มันอาจไม่สำคัญเท่ากับการที่เขาตั้งใจทำอะไรบ้างอย่างด้วยความสุข มีศักดิ์ศรี ไม่ขอใครกินเปล่าๆ

ในขณะที่เขาเดินกลับมาที่ผู้หญิงตรงข้ามผม (คงเป็นคู่ครอง คู่ชีวิต คนรัก - สุดแท้แต่ใครจะเรียก - ของเขา) คงพูดคุยตกลงกันว่าจะลงหรือเปลี่ยนขบวนที่สถานีไหน
ผมเริ่มคิดเปลี่ยนใจ แล้วก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงควานหาเหรียญปอนด์
ชายวณิพกก้าวเดินไปอีกด้านของตู้โดยสาร
ไม่เป็นไร ...ผมคิด... เดี๋ยวเขาก็ย้อนกลับมา
ผิดคาด เมื่อรถไฟจอดที่สถานีถัดไป เขาลงจากตู้โดยสาร
อา... ใช่ เขาคงจะไปที่อีกเวทีของเขา ในตู้โดยสารถัดไป ...ผมลืมคิดไปได้ยังไงนะ

ในเสี้ยววินาที ผมตัดสินใจลุกขึ้น เดินตามเขาไป จำได้ว่าผมตื่นเต้นพอสมควร
อย่าถาม... เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตื่นเต้นทำไม
ผมเดินตามเขาไปจนออกจากตู้โดยสาร และไปทันเขาในจังหวะที่เขากำลังจะก้าวขึ้นตู้โดยสารถัดไปพอดี
ในมือผมมีเหรียญปอนด์อยู่ ผมเอื้อมมือไปสะกิดที่หลังของชายวณิพก
เขาหันกลับมา ผมยื่นเหรียญให้ ใส่มันลงในมือของเขาที่ยื่นออกมารับเมื่อรู้จุดประสงค์ที่ผมเดินตามมา
หลังจากขอบคุณอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้มเดิมๆ เขาเดินขึ้นตู้โดยสารไป
ผมลังเล แต่ก็ตัดสินใจในเสี้ยววินาทีว่าจะไม่เดินตามเขาขึ้นไป ผมตัดสินใจรอรถไฟขบวนถัดไป เพราะรู้ว่าจะเดินกลับไปที่ตู้เดิมก็ไม่ทัน
ผมมองเห็นเขาเริ่มต้นการแสดงของเขา พร้อมๆ กับที่ประตูรถไฟเลื่อนเข้าหากัน
แล้วรถไฟก็เคลื่อนออกจากชานชาลาไป

ผมรู้ตัวว่ายิ้มไม่หุบในระหว่างเดินมาที่ม้านั่ง
ความรู้สึกที่มี มันดีอย่างที่อธิบายไม่ถูก ...มันดีจนผมต้องเอามือไปตบกำแพงถี่ๆ หลายๆ ครั้งด้วยความสุขใจ (มันเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกดีๆ อย่างหนึ่งของผม)
ผมคงดีใจ ที่ได้ให้เงินหนึ่งปอนด์เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนแก่ชายวณิพก
มันอาจไม่มาก แต่ผมถือว่ามันเป็นการแสดงออกถึงความยอมรับในคุณค่าบางอย่างที่เขามี
และผมหวังว่าเขาคงรับรู้ได้จากการที่ผมเดินตามมาถึงตู้โดยสารอีกตู้ ยอมเสียเวลา กลับบ้านช้าลงอีกหน่อย เพื่อเอาสิ่งที่เขาสมควรได้มาให้

ผมเชื่อว่าเขาสมควรได้...
เพราะอย่างน้อยๆ เขาก็ทำให้มันเป็นรถไฟเที่ยวดึกที่รื่นรมย์และน่าจดจำที่สุดเที่ยวหนึ่งสำหรับผม

Saturday, October 20, 2007

บันทึกช่วยจำ[ส่วนตัว]

เสาร์ที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๐

๑.
ตื่นค่อนข้างเช้า... แปดโมงครึ่ง ...เอ่อ ก็อาจดูไม่เช้ามาก แต่หากเทียบกับเวลาเข้านอน ประมาณตีสองครึ่งตีสาม ก็นับว่าเช้าอยู่
ที่ต้องตื่นเช้า เพราะมีนัดกับอาร์ตไดเรกเตอร์ของผม - พอล - ว่าจะไปบ้านพ่อแม่มัน ผมเองอยากไปเอากระเป๋าที่ทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนที่ไปอาศัยอยู่ที่นั่น
แต่พอใกล้ถึงเวลา โทรหาไอ้พอล มันไม่รับโทรศัพท์ ...นึกในใจ เอาอีกแล้ว ไอ้พอล มึงเบี้ยวกูอีกแล้ว
(มารู้ทีหลัง ตอนมันโทรกลับมาตอนสิบเอ็ดโมงสี่สิบห้า แล้วบอกว่า กำลังเดินกลับบ้าน ...อืม แล้วเมื่อคืนพอเลิกงาน มึงไปนอนที่ไหนมาวะเนี่ย
แล้วพ่อแม่มันก็ไม่อยู่บ้านสุดสัปดาห์นี้ ไปหายายไอ้พอลที่ portsmouth จะไปเองก็ไม่ได้
สรุปว่าเมื่อไรกูจะได้ไปเอากระเป๋าล่ะครับ ไอ้คุณพอล)

๒.
ระหว่างที่นั่งรอโทรศัพท์จากพอล ผมเปิดทีวีที่เพิ่งได้มาเมื่อวาน(มือสอง)ดูไปพลาง แล้วก็ต่ออินเตอร์เนทใช้ไปพลาง
ในระหว่างดูโน่นดูนี่ มีช่วงจังหวะที่กลับมาเปิดดูที่หน้า contact list ของ messenger
ระหว่างที่ไล่ดูลงมาตามรายชื่อ พลันสายตาก็ไปสะดุดกับชื่อชื่อหนึ่ง...

ผมไม่เคยเห็นเธอออนไลน์มานานนับปี
ถัดจากความรู้สึกประหลาดใจในเสี้ยววินาทีแรก ก็เป็นความรู้สึกของหัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ
ผมไม่ประหลาดใจ เพราะความรู้สึกในใจมันมากเสียจนยากที่จะมองผ่านไปได้

๓.
ผมทักเธอ และเราคุยกันอยู่พักใหญ่
ในจินตนาการผ่านตัวหนังสือบนจอไฟฟ้า เธอยังคงน่ารักไม่เปลี่ยน
ซ้ำร้ายอาจมากกว่าเดิม เมื่อในบางครั้ง บางประโยค ผมรู้สึกว่าเธอมีความมั่นใจขึ้นมากกว่าแต่ก่อน
เวลาเธอหยอกล้อ ผมยังคงได้ยินเสียงของเธอแจ่มชัดอยู่ในหัว
แม้ว่าในควาเป็นจริง บางที ในความจริงมันอาจไม่เหมือนที่เคยเป็น
บางที อาจเป็นผมเองที่หยุดเวลาเอาไว้

๔.
ผมให้ที่อยู่ใหม่กับเธอ
เธอบอกว่าตั้งแต่ไปอยู่เชียงใหม่ เธอชอบส่งโปสการ์ด
ผมขอให้เธอส่งรูปถ่ายที่ผมอยากได้มาให้
ผมบอกเธอว่า คิดถึง ส่งมานะ แล้วผมจะรอ

...แล้วผมก็น้ำตาร่วง...

มันเป็นหยดน้ำตาของความคิดถึง
ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้เธอ(ฤใครๆ)รู้ว่าความคิดถึงมันมากมายแค่ไหน
ตอนที่พิมพ์ว่า "เราจะรอ" หากใครเอาปรอทวัดความคิดถึงมาให้ผมอมใต้ลิ้น มันคงจะพุ่งขึ้นจนทะลักกระเปาะ
ทะลักจนล้นออกมาเป็นหยดน้ำตา
แต่อย่าถามต่อว่าในหยดน้ำตาหยดนั้น นอกจากความคิดถึงแล้ว มันยังปนเปื้อนด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจฤไม่
เพราะแม้แต่เจ้าของหยดน้ำตาเองก็ยังไม่แน่ใจ

๕.
หลายใครถามผมว่า เมื่อไรถึงจะเลิกเสียใจจากความรักครั้งนี้
หลายใครถามผมว่า เมื่อไรผมจะลืม แล้วเริ่มต้นใหม่

ผมตอบไม่ได้

ให้ผมถามหลายใครกลับบ้างได้ไหม?
จำได้เลาๆ สมัยเด็กๆ ในแบบเรียน เขาบอกว่า กล้ามเนื้อหัวใจเป็นกล้ามเนื้อเรียบ บังคับไม่ได้ (ใช่ไหม?)
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมอยากถามว่า

ถ้าเราคิดจะลืม เราก็จะลืมได้จริงๆ น่ะหรือ
ถ้าเราคิดจะเลิกเสียใจ เราก็จะเลิกเสียใจได้จริงๆ น่ะหรือ
ถ้าเราคิดจะหยุดรัก ความรักมันก็จะจางจากไปดื้อๆ ได้จริงๆ น่ะหรือ

ผมไม่ค่อยมั่นใจ

...ก็ในเมื่อ เรื่องบางเรื่อง ยิ่งจำก็ยิ่งเจ็บช้ำ
...ก็ในเมื่อ เรื่องบางเรื่อง ไม่ต้องบันทึก เราก็จำฝังใจ