Sunday, December 25, 2005

เสียงจากข้างใน

ในวงสนทนาระหว่างเพื่อนที่คบกันมาเกือบสิบปี
ผมเริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง...

เราเคยอยู่เงียบๆ แล้วเงี่ยหูฟังเสียงจากข้างในตัวเองกันบ้างไหม

...
...
...

หลายคนรอบข้าง ต่างเริ่มต้นเดินบนเส้นทางชีวิตของตัวเอง
ต่างคนต่างกำหนดจุดหมายปลายทาง
บางคราว ผมสงสัยว่า เส้นทางที่เขาและเธอเลือกเดิน ใครกันกำหนด
หลายครั้ง เมื่อคนส่วนใหญ่ต่างยอมรับว่า แบบนั้นดี แบบนี้เยี่ยม
หลายคนก็พร้อมที่จะกำหนดจุดหมายปลายทาง กำหนดทางเดิน ในทิศทางเดียวกันกับที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าดี

บางคนเป็นหมอ เป็นวิศวกร เป็นนักบริหาร โดยที่ตัวเองยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า ทำไมถึงอยากเป็น
เป็นเสียงจากข้างในที่อยากเป็น ฤเป็นเสียงจากคนรอบข้างที่อยากให้เป็น

บางคน สมัครเข้าทำงานในองค์กรใหญ่ ที่ซึ่งวัฒนธรรมและบรรยากาศแตกต่างจากที่ตัวเองฝันไว้
เพราะเป็นที่ยอมรับกันในคนหมู่มากว่า อยากก้าวหน้า ต้องมาเริ่มต้นที่นี่ ต้องเดินตามขั้นตอนแบบนี้ แบบนั้น

บางคราวผมนึกสงสัยว่า ผู้คนเหล่านั้น กำหนดเส้นทางเดินอย่างไร
พวกเขาเคยตั้งใจฟังเสียงจากข้างในบ้างไหม ว่าตัวเอง มีความสุขกับอะไร
ฤว่าการมีชีวิต มีหน้าที่การงาน อันเป็นที่ยอมรับของคนหมู่มาก คือสิ่งที่พวกเขาต้องการ

จริงอยู่ การเป็นที่ยอมรับมันหอมหวาน ใครก็อยากเป็นที่ยอมรับของใครและใคร ...ความรู้สึกนี้ ไม่เว้นแม้แต่ตัวผมเอง
แต่เราเคยถามตัวเอง แล้วได้คำตอบที่ค่อนข้างชัดเจนกันบ้างไหมว่า เราอยากไปยืนตรงจุดไหน
บางที เราฟังแต่เสียงรอบข้าง ว่าแบบไหนดี แบบไหนเยี่ยม เราก็ตั้งความหวังว่าจะไป ตั้งใจว่าจะทำ
จนหลายครั้ง เราเอง ละเลยเสียงจากข้างในตัวเอง ที่น่าจะได้ยินชัดเจนที่สุด ว่าเราอยากเป็นแบบไหน

ผมสงสัยว่า ความสุขที่ได้เป็นที่ยอมรับจากคนหมู่มาก กับความสุขที่ได้เดินตามเสียงจากข้างในตัวเอง มันแตกต่างกันบ้างไหม

Monday, November 07, 2005

พลังแห่งชีวิต

เคยรู้สึกว่าหมดไฟ หมดแรง หมดพลัง สำหรับชีวิตปกติที่สุดแสนจะวุ่นวายกันบ้างไหมครับ?

ย้อนหลังไปสองสัปดาห์ก่อน ผมชวนตัวเองลาพักจากงานประจำ และชีวิตอันแสนวุ่นวายในเมืองใหญ่
ไปใช้ชีวิตที่เหมือนเป็นคนละโลก บนดอยที่บ้านแม่ผักแหละ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย

ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ขึ้นไปทำค่าย...สร้างโรงนอนให้เด็กๆ ที่โรงเรียนบ้านแม่ผักแหละ...ชีวิตช่างแตกต่าง
ชิวิตในเมืองใหญ่... วุ่นวาย สับสน ร้อนรน เร่งรีบ และดูเหมือนว่าวันหนึ่งๆ ตัวผมเองรู้สึกเหมือนไร้จิตวิญญาณ
ถึงแม้จะมีเรื่องราวเล็กๆ รอบตัว ที่ช่วยแต่งแต้มรอยยิ้มที่มุมปากได้บ้าง เป็นครั้งคราว แต่โดยรวมแล้ว ชีวิตเหมือนไร้ชีวา
ชีวิตบนดอย... แม้งานจะหนัก จะเหนื่อยบ้าง ความสะดวกสบายก็หายาก แต่ผมรู้สึกโล่ง รู้สึกสบายใจ และมีความสุข
รอยยิ้มเก็บเกี่ยวได้ตลอดเวลา ความสุขเหมือนเป็นสิ่งคุ้นเคย

ทุกครั้งที่พาตัวเองไปพบเจอประสบการณ์แบบนี้ ผมรู้สึกเหมือนได้สร้างพลังอะไรบางอย่างข้างในตัวเอง
อะไรบางอย่างที่จะเป็นแรงผลักดันให้ผมสู้ เป็นแรงขับในการใช้ชีวิตต่อไป หลังจากที่บางครั้งเหน็ดเหนื่อยกับชีวิต ที่ยังไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไร
นี่ฤเปล่า ที่บางใครเคยกล่าวไว้ว่า ในการเป็นผู้ให้ คุณจะได้รับอะไรบางอย่างตอบแทนอยู่ในตัวมันเอง

ขอบคุณ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน สำหรับช่วงเวลาดีๆ ที่แปรสภาพมาเป็นความรู้สึกดีๆ เป็น"พลังแห่งชีวิต"ให้กับผมได้ใช้ในการดำเนินชีวิต ในการตามหาอะไรบางอย่างของผมต่อไป

...แล้วเราคงได้เจอกันอีก ...

Wednesday, September 28, 2005

ณ สถานที่ ที่เวลาเดินถอยหลัง

"สวัสดี ดากานดา"
...
...
...

...กี่ปีแล้วหนอ ที่ใช้ชีวิตราวกับว่าเวลามันหยุดนิ่ง ฤ อาจจะเดินถอยหลังเสียด้วยซ้ำ...

นับตั้งแต่เวลาพาให้ชีวิตได้พบกับใครคนหนึ่ง แล้วเวลาก็พัดผ่าน และพัดพาให้ต้องเหินห่างจากใครคนนั้น
ในความเป็นจริง มันก็เป็นเพียงเรื่องปกติธรรมดา เป็นสัจธรรมที่ได้พบเจอกันอยู่บ่อยๆ
เวลาที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เหมือนๆ กับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยหยุดทำหน้าที่ของมัน
แต่ช่วงเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมา ผมเองกลับดำรงชีวิตอยู่ในสถานที่ที่เวลาเหมือนหยุดนิ่ง ฤ บางทีอาจจะเดินถอยหลัง

ผมยังคงมีความสุข กับบางช่วงเวลาในอดีต
ผมยังคงพาตัวเองไปพบกับเธอคนนั้นในความทรงจำ
ผมยังคงเมินเฉยกับความจริงที่เวลานั้นไม่เคยหยุดเดิน
และที่แน่นอนที่สุด...ผมยังคงมีความรักให้เธอคนนั้นเสมอ
...
...
...

เพียงแค่หวังว่า สักวันหนึ่ง ผมจะได้พบกับใครบางคน ที่จะมาไขลานให้เวลาของผมไม่หยุดนิ่ง ไม่ถอยหลัง
และ ณ ที่แห่งนั้น เวลาของผมคงจะเดินไปข้างหน้า ตามธรรมชาติของมันเสียที

--------------------------------------------------------------------------------------
* ขอบคุณพี่เอ๋ สำหรับ "เพื่อนสนิท" รอบสื่อมวลชน ที่ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจสำหรับการเขียนครั้งนี้
* ขอบคุณเธอคนนั้น สำหรับความทรงจำที่ดี และสำหรับความสุขที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นเพียงแค่ผมเอง ที่สุขไปคนเดียว
* "ดากานดา แปลว่า หญิงอันเป็นที่รัก"
--------------------------------------------------------------------------------------

Monday, September 19, 2005

เหนือฟ้ายังมีฟ้า

เคยรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถกันบ้างไหม?

-----------------------------------------------------------------
เคยมั่นใจในศักยภาพของตัวเอง
เคยคิดว่าอย่างน้อยก็ไม่อ่อนด้อยไปกว่าใคร
แล้ววันหนึ่งก็เข้าใจสัจธรรม..."เหนือฟ้ายังมีฟ้า"
บางทีเรามันก็แค่กบในกะลา...
บางครั้งเรามันก็แค่คน ไม่ใช่เทวดา...
บางคราวเรามันก็แค่เศษธุลีใต้แผ่นฟ้า...
บางเวลาเราพึงระลึกไว้ว่า...เหนือฟ้ายังมีฟ้าอยู่เสมอ
-----------------------------------------------------------------

ผมไม่ใช่คนจองหอง ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องอยู่เหนือกว่าคนอื่น
บ่อยๆ ที่ยอมรับ นับถือ อิจฉา อยากเป็น อยากเก่ง เหมือนใครๆ
บ่อยๆ ที่รู้สึกว่า เรามันก็แค่ตัวนิดเดียว ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างบางใคร
แต่กับครั้งนี้ มันเหมือนความมั่นใจที่มี กร่อนไปจนเกือบไม่เหลือ
ช่องว่างนั้นถูกแทนที่ด้วยความไม่แน่ใจ...เรามีความสามารถแค่ไหนกัน

อาจเป็นเพราะ กำลังอยู่ในช่วงสับสนกับชีวิต ว่าจะเลือกเส้นทางไหน
อาจเป็นเพราะ กำลังจะเดิมพันชีวิต โดยไม่มีอะไรหนุนหลัง นอกจาก"ความเชื่อ"
และอาจเป็นเพราะ...ในความเป็นจริง คนเราก็มีช่วงเวลา หรือซอกมุมแห่งความอ่อนแอ

...
...

ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหนักหนา
บางใครอาจบอกว่า...เรื่องแค่นี้ เท่าขี้หมา จะพร่ำพรรณนาไปทำไม

ใช่ครับ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
และผมมั่นใจ... อีกไม่กี่วัน มันก็จะเป็นแค่เศษเสี้ยวของชีวิตที่ถูกลืมไป
ผมแค่อยากจะเขียนไว้เตือนใจตัวเอง
หรือจะดียิ่งขึ้นไป ถ้ามันสามารถช่วยให้ใครฉุกคิดและตระหนัก...
ตระหนักถึงสัจธรรมข้อหนึ่ง

...เหนือฟ้ายังมีฟ้า...

Wednesday, September 07, 2005

คนกับธรรมชาติ

คนเราเกิดมาอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วก็ตายจากไป
ธรรมชาติ มีอยู่ คงอยู่ ก่อนหน้า และอาจตลอดไป
เราก็เหมือนผู้มาขออยู่อาศัย...ฤเปล่า?
ธรรมชาติใจดี เป็นเจ้าบ้านที่ดี ให้คนเราอยู่อาศัย รบกวน เบียดเบียน อย่างไม่เคยปริปากบ่น
(ผมคิด...ถ้าบ่นได้ ธรรมชาติคงด่ากราด ยิ่งกว่าแม่ค้าปากจัดตามตลาดสด)
เหมือนคนเราจะได้ใจ...เมื่อธรรมชาติปล่อยให้เรารบกวน เบียดเบียน
...เราก็ไม่เคยคิดเกรงใจ ขอให้ตัวเองสุขสบายเป็นพอ...

Sunday, August 28, 2005

"...ก็ชีวิต ไม่ง่ายดาย เลยสักนิด...แต่ชีวิต ไม่ยากเย็น อย่างที่คิด..."

ผมเรียน ม.ปลาย สายวิทยาศาสตร์
ผมเรียน มหา'ลัย คณะวิศวกรรมศาสตร์
ผมทำงาน(มาแค่ 3 เดือน) ในตำแหน่ง technical support engineer
แต่วันนี้ ผมไม่อยากเดินบนเส้นทางสายวิศวกรอีกต่อไป

การตัดสินใจไม่ง่าย
ในขณะที่ ก็ไม่น่าจะยากนัก
แต่ปัจจัยมันไม่ใช่แค่ ชอบ หรือ ไม่ชอบ
พ่อ แม่ คือคนสำคัญที่สุดที่ต้องคิดถึงไปด้วย
อนาคต ความมั่นคง นั่นคงพูดไม่ได้ว่าไม่สำคัญ
...
...
...
แต่ในเมื่อชีวิตทุกวันเริ่มต้นด้วยความทุกข์
นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ดีพอสำหรับการเปลี่ยนแปลง
ปัญหาก็คือ จะย้ายตัวเองไปอยู่ตรงไหนในสังคมบูดๆ บนโลกเบี้ยวๆ ใบนี้

ทุกวันคือคำถาม
คำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้
ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านออกมาจากข้างใน...ไม่มีความสุข
ความคิดที่ไม่เคยหยุด...จะไปทางไหน
ข้างในร่างกาย ส่งเสียงเตือนด้วยอาการป่วยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ด้วยความที่เป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง ผมไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ความเครียดวิ่งลงกระเพาะ
(แต่อาการที่เกิด เพื่อนหมอสองคน ลงความเห็นเหมือนกันว่า น่าจะมาจากความเครียด)
...
...
...
ถ้าผมเลือกที่จะทิ้งสิ่งที่เรียนมา ไปสู่เส้นทางที่ชอบ แต่ไม่สามารถประกันความมั่นคงในอนาคตได้
(ซึ่งถ้าผมตัดสินใจ ท่านคงห้ามอะไรไม่ได้ และถ้าว่ากันจริงๆ ท่านไม่เคยบังคับ และปล่อยให้ผมตัดสินใจเองมาตลอด)
ท่านทั้งสองจะเสียใจไหม?
ท่านทั้งสองจะเข้าใจไหม?

ถ้าผมได้เดินบนเส้นทางที่ผมเลือก
ผมจะทำให้ท่านหมดห่วงได้ไหม?
ผมจะไปได้ไกลแค่ไหน?

คำถามที่ไม่มีวันได้คำตอบในเร็ววัน
มีแต่ความหวัง อยากให้ท่านทั้งสองรับรู้ว่า
...วันนี้ กับการงานที่ดูมั่นคง ผมไม่มีความสุข
...วันหน้า(ถ้ามี) กับการงานที่ต้องใช้เวลาพิสูจน์ ผมน่าจะมีความสุข หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ทุกข์น้อยกว่า
เพราะความสุข บางครั้งอาจหาได้จากสิ่งเล็กน้อย รอบๆ ตัว และสิ่งเล็กน้อย ภายในใจของเราเอง ใช่ไหมครับ
...เงินไม่ใช่คำตอบเสมอไป


วันนี้ ผมไม่มีความสุขเลยครับ

Saturday, August 13, 2005

"เพื่อนสนิท"

เพื่อน/รัก.....รัก/เพื่อน


เมื่อวาน... ผมถูกชักชวนให้ไปดูหนังตัวอย่าง(Trailer)ของหนังไทยเรื่อง "เพื่อนสนิท"
โครงเรื่องของหนัง มันชวนให้นึกถึงเรื่องเก่าๆ คนเก่าๆ ... รักเก่าๆ
ตัวอย่างหนังเพียงแค่ 2-3 นาที(ต่อหนึ่งแบบ) แต่ดูแล้วกลับใจหายวาบ เหมือนกับว่าน้ำตาจะซึมออกมา
...
...
ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ น่าจะเคยรู้สึกดีๆ จนถึงขั้นหวั่นไหว ไปกับคนใกล้ชิดที่เรียกว่า"เพื่อนสนิท"กันมาบ้าง
...ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
...
...
ผมอยากจะไปดูหนังเรื่องนี้...อาจเป็นเพราะผมนึกถึงใครบางคน และอะไรบางอย่าง
หลายๆ คนอาจจะไปดูหนังเรื่องนี้ เพราะนึกถึงความหลังเก่าๆ
ผมไม่รู้ว่าความรักของตัวละครในหนังจะจบลงแบบไหน
แต่ความรักของผม มันจบลงไปแล้ว...แบบไม่สมหวัง
แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น ผมก็ยังอยากที่จะรู้ว่า ถ้าเธอคนนั้นมีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้ เธอจะนึกถึงผมบ้างไหม...
...
...
ใครบางคนบอกไว้ว่า มีเส้นแบ่งบางๆ ระหว่าง...

เพื่อน/รัก

รัก/เพื่อน

...แล้วคุณเคยรู้สึกหลงรัก"เพื่อนสนิท"ของคุณบ้างไหม?


ปล. ขอบคุณพี่เอ๋ และอีกหลายๆ พี่ หลายๆ เพื่อน แห่งบริษัท จีเอ็มเอ็ม ไท หับ ที่ให้โอกาสผมได้ไปดูหนังตัวอย่างถึงในห้องฉายหนังของบริษัท ... ขอบคุณครับ แล้วคงได้ไปสนุกกันอีก

Wednesday, August 03, 2005

"ฉันสูญสิ้นศรัทธาในความรัก"

หลายคนคงเคยผ่านหูกับประโยคข้างบน
ถ้าจำไม่ผิด คงเป็นหนังเรื่อง"กุมภาพันธ์"

...
...
...

คุณเคยรู้สึกว่า"อาภัพรัก"กันบ้างไหมครับ?

เมื่อคำว่ารักที่เกิดขึ้น มักไม่ถูกที่ ไม่ถูกเวลา
เมื่อความรัก ที่มีให้ใครสักคน ไม่ได้รับการตอบสนอง และอาจถูกมองข้ามในหลายคราว
เมื่อเกือบทุกสิ่งที่ทำให้ใครสักคนอย่างที่อาจไม่มีใครอื่นได้รับ เสมือนเป็นเพียงหนึ่งหยดน้ำในผืนมหาสมุทร
แล้วสุดท้าย ความรักก็จบลงด้วยความผิดหวัง

อาจไม่ต้องบ่อยครั้ง แต่ความผิดหวังมันก็กัดกร่อน
กัดกร่อนจนบางครั้งอดแปลกใจไม่ได้ว่า หัวใจมันใหญ่แค่ไหนกัน ถึงได้ยังมีเหลือ...คงเหลืออยู่กับความรักนั้น แม้จะเพียงเศษเสี้ยว
ความรักมันคงยิ่งใหญ่ เหมือนอย่างที่ใครต่อใครว่าไว้จริงๆ

ผมไม่รู้หรอก เพราะผมยังไม่เคยมี"คนรัก"
ครับ อ่านถูกต้องแล้วครับ ผมไม่เคยมี"คนรัก"
อาจฟังดูแปลก... ไม่เคยมี"คนรัก" แล้วจะมาพร่ำเพ้ออะไรกับ"ความรัก"
แต่มันคงเหมือนกับที่"คนรัก"ของเพื่อนผมพูดกับผมเมื่อวานนี้

"ความรัก"กับ"คนรัก" หลายๆ ครั้ง ทั้งสองสิ่ง มาไม่พร้อมกัน
...
...

คุณเคยอิจฉากันบ้างไหม?
อิจฉาในความรักที่คนอื่นมี อิจฉาในคนรักที่คนอื่นมี
เคยรู้สึกว่า โลกนี้ไม่ยุติธรรมกันบ้างไหม?
ความรักที่มี แน่ใจว่าไม่น้อยกว่าใคร ...หากมันวัดกันได้...
แล้วทำไม...ทำไม...ทำไม...

ความผิดหวังที่กัดกร่อนข้างใน
นานเข้า นานเข้า อาจเปลี่ยนเป็นความคุ้นชิน
นานเข้า นานเข้า อาจไม่ต้องการความรู้สึกที่เรียกว่ารักอีกต่อไป
นานเข้า นานเข้า อาจไม่เชื่อในรักแท้อีกต่อไป

ฤว่า...ผมกำลังจะสูญสิ้นศรัทธาในความรัก ?

Monday, August 01, 2005

เลือกแบบไหน?

ช่วงนี้สับสนกับชีวิตชะมัด... จะเอาไง จะเอาไง จะเอาไง จะเอาไง
เป็นวิศวกร ทำโรงงานสองสัปดาห์ รวมกับออฟฟิศปัจจุบันอีก 2 เดือน เป็นสองเดือนครึ่ง ... ความสับสนก็ยังคงอยู่
ยังไม่เบื่อ ยังไม่เบื่อ ... เอ โน้มน้าว สะกดจิตตัวเองอยู่ฤเปล่านี่?

แต่ใครล่ะ อยากจะทำงาน มากว่าอยากอยู่สบายๆ ...ถ้าเสกเงินทองได้เหมือนนักมายากลน่ะนะ

กับงานที่(คิดว่า)ชอบ สนุก ...พวกดนตรี หนัง ทีวี หนังสือ อะไรแบบนั้น
จะไปทำจริงๆ ก็พอมีหนทางอยู่
แต่คงดูแลได้แค่หัวเดียวข้าวเหนียวนึ่ง
แล้วพ่อแม่ แล้วทางบ้านล่ะ? กี่ปีถึงจะมั่นคงพอที่จะดูแลได้ด้วย

กับงานที่ทำอยู่ เริ่มต้นก็สองหมื่นทอนสองพัน (ในความหมายที่พ้นทดลองงานไปแล้ว)
(บางคนอาจบอก...ไม่เยอะ
ผมอยากบอก...ไม่น้อย)
ทำไปเรื่อยๆ ความก้าวหน้าคงมีอยู่ และมั่นคงพอที่จะดูแลคนอื่นด้วย ในเวลาไม่นาน

ใจอยากเลือกทางที่สนุก... ไม่ใช่คนหรูหราอยู่แล้ว เงินเหรอ มีก็ดี ไม่มีก็ได้
ไม่เคยถูกสอนให้เห็นเงินเหมือนพระเจ้า เพราะความสุขบางครั้งหาได้จากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว
แต่ก็ไม่หันหลังให้กับสังคมแบบบริโภค(จำมาจากคุณตุลย์) รับรู้ว่าในการดำรงชีวิตในโลกปัจจุบัน มันเป็นความจำเป็นอย่างหนึ่ง

ด้วยความรู้สึกว่า ยังหนุ่ม ยังมีแรง อยากจะผจญภัยบ้าง
แต่หลายปัจจัยมันยังดึงไว้อยู่... ทนหน่อย ทนหน่อย
ได้...ทนได้... แต่ตั้งขีดจำกัดไว้เท่าไรดีล่ะ?
อยากจะคิดให้มันง่ายๆ แค่ถามตัวเองว่าจะมีความสุขไหม... พูดง่าย แต่ทำยาก

ยิ่งสับสน ยิ่งคิด ยิ่งฟุ้งซ่าน
เลยเถิดไปถึงว่า ถ้าอยากมีครอบครัว งานแบบไหนถึงจะรองรับ?
งานที่(คิดว่า)ชอบ แต่ไม่มั่นคง แล้วใครจะอยากมาร่วมหัวจมท้ายด้วย
งานที่ไม่(ค่อย)ชอบ(เท่าไร) น่าจะมั่งคง แต่วันหนึ่ง คงกลายเป็นเหมือนคล้ายๆ กับหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมมาให้เข้ากับระบบ

คิดไปไหนกันนี่? ฟุ้งซ่าน เพ้อเจ้อ ไม่มีหยุด
พอๆๆ ... กลับมา กลับมา

ก็ไม่รู้สินะ... มันอธิบายไม่ถูก
เหมือนเป็นโรคเหงา ของมนุษย์เงินเดือนในเมืองใหญ่
มันเป็นยังไงหรือ ไอ้โรคที่ว่า...

ที่แน่ๆ ... สับสน สับสน สับสน สับสน
เลือกแบบไหน?

Saturday, July 23, 2005

น้ำเอยน้ำใจ

วันก่อน...
ลงรถเมล์...เดินข้ามสะพานลอยมาที่ปากซอย2 (บ้านผมเข้าได้สองทาง ซอย1 และซอย2)
วินมอเตอร์ไซค์ที่ปกติจะอยู่ถึงสี่ทุ่ม ปิดไฟมืด...ในความหมายว่า วันนี้ปิดแล้ว
มองนาฬิกาจากโทรศัพท์มือถือ เอ...มันเพิ่งสามทุ่มเอง ทำไมเลิกเร็ว?
คิด คิด คิด เอาไงดี
จะเดินไปที่ปากซอย1 ก็ขี้เกียจ วันนี้เอาคอมพิวเตอร์พกพากลับมาด้วย หนักชะมัด
ยืนรอไปเรื่อยๆ คิด คิด คิด เอาไงดี
พี่สาวก็ยังไม่กลับบ้าน จะเรียกมารับก็ไม่ได้
รอไปเรื่อยๆ อีก กะว่า เดี๋ยวคงมีคันว่างๆ ผ่านมาบ้าง...แต่ก็ไม่
คันที่มีผู้โดยสารขับผ่านๆ ไป ก็ไม่ย้อนกลับมารับแฮะ (ตอนขับผ่าน ก็เห็นมองๆ อยู่นี่นา)
ลองเสี่ยงดูละกัน คันต่อไปที่ผ่านมา ลองเรียกดู โบกเรียกเหมือนกับว่าไม่มีผู้โดยสารนั่นแหละ แล้วก็รอให้กลับมารับ
รออยู่นานก็ยังไม่มา
จนเกือบจะเดินไปแล้ว ไม่รอแล้ว
ปรากฏว่า มอเตอร์ไซค์คันนั้นวนกลับมารับแฮะ
พี่คนขับเป็นผู้หญิง (เดี๋ยวนี้ผู้หญิงมาขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างกันเยอะแฮะ) บอกว่า เกือบจะไม่กลับมาแล้ว
พอดีคิดๆ ว่า เวลาเมื่อก่อน ก็เคยยืนรอแล้วไม่มีรถ เข้าใจความรู้สึก เห็นว่ารอ แล้วก็เรียกไว้ เห็นว่ายืนรอ ก็สงสาร เลยกลับมารับ
...ขอบคุณครับ...


เมื่อวาน...
เดินไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าอร่อย แถวบ้าน
กินไปสักพัก มีเด็กผู้ชายตัวอ้วน(มาก) เสื้อผ้ามอมแมม ขับซาเล้งมาจอด แล้วก็ลงมานั่งกินก๋วยเตี๋ยวข้างๆ
ผมกินเสร็จลุกจะไปจ่ายเงิน (21 บาท)
ล้วงกระเป๋าเอาแบงค์ 20 ขึ้นมา...เอ๊ะ เมื่อกี้มันมีเหรียญ 5 บาท ที่ได้ทอนมาตอนซื้อหนังสือพิมพ์นี่นา หายไปไหนวะ?
กำลังล้วงๆ หาอยู่ ได้ยินเสียงเรียก "พี่ครับๆ"
หันกลับไป น้องผู้ชายตัวอ้วนเสื้อผ้ามอมแมมที่นั่งข้างๆ ยื่นมือมาให้ ในมือมีเหรียญหาบาทที่ผมคงทำตกไว้ตอนจะลุกจากโต๊ะ
ผมยื่นมือไปรับเหรียญนั้น บอกขอบคุณน้องชายคนนั้นสองรอบ
จ่ายเงินเสร็จ ก่อนออกจากร้าน ผมเดินไปที่โต๊ะอีกที "ขอบคุณนะครับ" ... ไม่รู้จะขอบคุณกี่ครั้งดี ให้น้องได้รู้ว่า ผมชื่นชมในน้ำใจของน้องจริงๆ
เงิน 5 บาท สำหรับผมกับน้องคนนั้น คุณค่าที่มองเห็น มันต่างกันแน่ๆ ...แต่น้องชายคนนั้นก็เลือกที่จะคืนให้ผม ไม่เก็บเอาไว้เอง
...ขอบคุณครับ...


น้ำเอยน้ำใจ... อยากให้เมืองไทย อุดมไปด้วยน้ำใจอย่างนี้ตลอดไป

Wednesday, July 13, 2005

จากเพลงชาติ ถึงรากเหง้า

เมื่อวานและวันนี้
ตื่นเช้า ไปทำงานตามปกติ
...
...
"เวลา แปดนาฬิกา"
ประโยคนี้ ดังขึ้นขณะผมสอดบัตรโดยสารรถไฟฟ้าเข้าเครื่อง
แล้วเพลงชาติก็ดังขึ้น
ทุกคน(จริงๆ ก็ไม่ทุกคน แต่ 90% ล่ะนะ) ก็หยุดยืนตรงเคารพธงชาติ
...
...
แปลกตาดี
แปดโมง ช่วงเวลาเร่งด่วน
ภาพที่ชินตาคือ ผู้คนเร่งรีบ บ้างแก่งแย่ง บ้างมีน้ำใจ (เหรียญมีสองด้านเสมอ) ทุกอย่างดูวุ่นวาย
วันนี้ ภาพที่เห็น ถึงแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึง 2 นาที แต่มันต่างไปจากที่เคยชินตา

พูดไม่ถูกแฮะ
แต่รู้สึกดีอยู่ลึกๆ แอบอมยิ้มคนเดียว ไม่รู้จะมีใครเห็นและหาว่าบ้าฤเปล่า

ไม่รู้สิครับ ผมดีใจ ที่เรายังมีโอกาสได้ฟังเพลงชาติ ได้ยืนตรงเคารพธงชาติ วันละสองหน
และดีใจที่คนส่วนใหญ่ยังคงปฏิบัติเหมือนๆ กับที่ได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ
ไม่ว่าจะทำเพราะอาย ถ้าจะเป็นคนเดียว(หรือหนึ่งในไม่กี่คน)ที่ไม่หยุดยืนตรง
หรือจะทำเพราะเป็นความเคยชิน ผสมกับที่เห็นชาวบ้านเค้าทำกัน ก็เลยทำตาม
แต่ผมก็ยังดีใจที่มันยังถูกปลูกฝังอยู่ในตัวของคนส่วนใหญ่
...
...
นึกถึงเรื่องนึง ที่อ่านจากบทสัมภาษณ์ฝรั่งคนนึงที่มาแต่งงานกับคนไทย และอาศัยอยู่ในเมืองไทย จากหนังสือ OPEN
ฝรั่งคนนี้เค้าให้ลูกเรียนโรงเรียนโรงเรียนรัฐในละแวกใกล้บ้าน(ถ้าจำไม่ผิดไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงครับ)
แทนที่จะส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติอย่างที่เป็นที่นิยมกันในสมัยนี้(สำหรับผู้มีอัน(เหลือ)จะกิน...ไม่ได้ต่อต้านนะครับ ผมเองยังเคยคิดว่า ถ้ามีฐานะพอ ก็น่าสนใจอยู่...)
ฝรั่งคนเดิมนี้ ให้เหตุผลว่า (อาจไม่ตรงเป๊ะๆ แต่ไม่ใกลกันนักแน่ๆ)
"ผมเชื่อว่า คนเราควรเกิดมาและเติบโตมากับราเหง้าทางวัฒนธรรมเพียงหนึ่งเดียว"
ดังนั้นเค้าจึงไม่ส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติ ด้วยความรู้สึกที่ว่าความปนเปทางวัฒนธรรม จะทำให้"ฐาน"ไม่แน่น
...(รายละเอียดต่อๆ มา ผมจำไม่ค่อยได้แล้วครับ)

ผมเองเห็นด้วยกับความคิดนั้น...และชอบความคิดนั้นอยู่พอควร

วันนั้น หลังจากเห็นภาพที่ไม่ชินตา ผมนึกถึงเรื่องราวและคำพูดของฝรั่งคนนี้ขึ้นมา
จริงๆ มันไม่ได้เกี่ยวกันนัก ... แต่หัวผมเป็นแบบนี้ล่ะครับ มักจะกระโดดข้ามจากความคิดนึง ไปสู่ความคิดนึงที่อาจจะไม่ได้เกี่ยวกันอย่างแน่นหนาเท่าไร

พรุ่งนี้ถ้าได้ยินเพลงชาติ อย่าลืมยืนตรงเคารพธงชาติกันนะครับ

Saturday, July 02, 2005

please forgive me.....i can't stop loving you

...และแล้วรักที่มีก็จบลง มันก็คงเหมือนเก่า...

อยู่ๆ ก็นึกถึงท่อนนี้ของเพลงนึงขึ้นมา... กับเก้าปีที่ผ่านไป

...ไม่เหลืออะไรเลย แหลกสลายลงไปกับตา เหลือเพียงใจที่ว่างเปล่า กับฉันคนเดียวเท่านั้น...

อีกเพลง...

...
...
...

ผ่านไปเก้าปี ก็ยังคงเหมือนเดิม ร้องไห้ไม่ต่างจากครั้งแรกๆ
เมื่อไรหนอ น้ำตาจะหยุดไหล

ทำไม ทำไม ทำไม

...
...
...

30 มิ.ย. 2548 ค่ำๆ ดึกๆ เสียงโทรศัพท์ที่ดังขี้นกระชากความสนใจไปพร้อมๆ กับที่ชื่อของใครคนนั้นที่รักที่สุดแสดงอยู่บนหน้าจอ
ความดีใจครอบคลุมไปทั่ว โดยไม่รู้หรอกว่า มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของน้ำตา

กับคำที่ใครคนนั้นทางปลายสายบอกมา ที่จริง มันก็เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้ว(อาจมีหลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง ก็มาจากความตั้งใจส่วนหนึ่ง)
เรื่องๆ เก่าๆ ซ้ำๆ เดิมๆ ...
แต่ทำไม ใครคนนี้ก็ยังไม่สามารถจะสะกดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกไว้ได้
ยังคงร้องไห้เหมือนเช่นเคย ...ฤอาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำ

ทำไม ทำไม ทำไม

...
...
...

ความรักที่ให้ไป มันจะมีค่าในสายตาเธอบ้างไหม?
เขาที่เธอรัก จะรักเธอไม่น้อยกว่าที่ฉันรักเธอไหม?
ความรู้สึกดีๆ ที่มากกว่าเพื่อน และอาจพัฒนาไป เธอเคยมีให้ฉันบ้างไหม?
ทำไม ทำไม ทำไม
...
...
...

สมองเหมือนจะวิ่งวุ่นอยู่ตลอด ในขณะที่รู้สึกว่างเปล่าไปด้วยในที

ฉันจะอยู่ต่อไปด้วยความรู้สึกแบบไหน?
ฉันจะรักใครได้มากมายเท่านี้อีกไหม?
ฉันจะมีความสุขเต็มที่ได้อีกไหม?
ทำไม ทำไม ทำไม

...
...
...

คำถามที่ไม่สิ้นสุด
เหมือนๆ กันกับความรักที่ไม่สิ้นสุด


..."ในความเป็นเพื่อน เรายังมีความรักให้เธอเสมอ"...

Sunday, May 29, 2005

happiness hangover

หมายความอย่างนั้น...

สี่วันมานี่ ยังสำลักความสุขอยู่เลย
ลิเวอร์พูล กะ แชมป์ UCL ..... มันอร่อยหอมหวานจริงๆ แฮะ
ส่วนผสมไหนจะมาทำให้สุขได้เท่านี้อีกหว่า.....(นึกออกแล้ว...เรา กับ ใครคนนั้น)

หมดครึ่งแรก 0-3 ... หมด 90 นาที 3-3
ตอนหมดครึ่งแรก พูดไปใคจะเชื่อ
ยิ่งถ้าบอกว่าจะชนะ คงถูกหาว่าบ้า ฤไม่ก็ไข้ขึ้น
แต่วันต่อมา รูปในหนังสือพิมพ์ star soccer ก็เป็น stevie g. เดินถือโทรฟี่นำลูกทีมลงจากเครื่องบิน
เออ เอาดิ ..... แหม ทำไปได้

มีความสุข มีความสุข มีความสุข มีความสุข

(จริงๆ ลากยาวมาตั้งแต่วันจันทร์ที่ไปดู be with you แล้วก็วั้นนี้(อาทิตย์ 29 พ.ค. 2548) ที่ไปกินข้าวกับเพื่อนที่เตรียม+ได้ขนมกลับมา)

Thursday, May 19, 2005

ฝนตกอีกแล้ว ไม่ตกสักวันเห้อะ

ฝนตกอีกแล้ว ไม่ตกสักวันเห้อะ...นั่นคือข้อความที่อ่านได้จากชื่อ msn ของรุ่นน้องคนหนึ่ง
แปลก... ผมกลับไม่เห็นด้วยในครั้งนี้ ทั้งๆ ที่ ในหลายๆ คราว มันก็น่าเบื่อและชวนหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย

เมื่อไม่กี่วันก่อน เจอรูปวัดวัดหนึ่งบนหน้าหนังสือพิมพ์
วัดนี้ ผมและเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ กลุ่มสานฝัน(ชมรมอาสาฯ) ที่ไปบ้านทอฝันกันทุกปีๆ น่าจะรู้จักกันดี
(แต่ทำไมหนอ ผมรู้จักไม่ดี ชื่อก็จำไม่ได้ ...วัดวิเวกการาม ฤอะไรประมาณนี้... ชื่ออ่างเก็บน้ำก็จำไม่ได้ ...ไอ้ความจำสั้นเอ๊ย)
วัดนี้อยู่ที่อำเภอสังขละ จังหวัดกาญจนบุรี
วัดนี้เป็นวัดที่จมอยู่ใต้น้ำ หลังจากสร้างอ่างเก็บน้ำเสร็จ และเริ่มต้นกักเก็บน้ำ
ปกติ เวลานั่งเรือผ่าน ผมจะได้เห็นแค่ส่วนบนๆ ของกำแพงอุโบสถ ยอดหอนาฬิกา ...คือเห็นแค่ส่วนที่มันสูงๆ นั่นล่ะ
แต่ในรูปนบหน้าหนังสือพิมพ์ น้ำมันลด จนสามารถลงไปเดินรอบๆ อุโบสถได้
ครับ น้ำแล้ง.....ปัญหาที่พี่น้องร่วมประเทศที่ประกอบอาชีพกสิกรรมทั่วประเทศกำลังประสบอยู่
อาจรวมไปถึงพี่น้องร่วมประเทศที่มีความจำเป็นต้องใช้น้ำ

ผมเห็นฝนตกคราวนี้ ไม่เซ็ง ไม่หงุดหงิด
ผมรู้สึกดีใจนิดๆ และภาวนาให้ มันตกอย่างเพียงพอในทุกๆ พื้นที่ที่ขาดน้ำ (อย่ามาบ้าตกแต่ในเมืองล่ะ)

สาธุ

Thursday, April 28, 2005

Finally...

Finally... I've got a blog...