Friday, April 21, 2006

เลือกที่จะแลก

วานนี้ ผมเพิ่งได้ดูหนังเรื่อง the butterfly effect
หนังเล่าเรื่องราวของ อีแวน เด็กชายผู้มีอาการวูบ (black out) เป็นโรคประจำตัว
หลังจากอาการวูบ อีแวนไม่สามารถที่จะจำเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่เขาเกิดอาการวูบได้
แม่ของอีแวน บอกให้เขาเขียนบันทึกประจำวัน ด้วยความหวังว่าอาจเป็นสิ่งที่ช่วยเกี่ยวกับความทรงจำของอีแวน

...เวลาผ่านไป อีแวน เป็นนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย เขาไม่มีอาการวูบมาเป็นเวลาเจ็ดปีแล้ว
แต่แล้ววันหนึ่ง มีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาได้กลับไปอ่านบันทึกวัยเด็กที่เขาเขียนมาตลอด
อีแวน เกิดอาการวูบขึ้นมาอีกครั้ง... แต่คราวนี้ระหว่างอาการวูบ อีแวน ได้เห็นเหตุการณ์ที่หายไปจากความทรงจำของเขาในวัยเด็ก
เมื่อฟื้นคืนสติกลับมา เขาพบว่า สิ่งที่เขาเห็น การกระทำของเขาในอดีต ได้ส่งผลถึงความจริงในปัจจุบัน

หนังเล่นกับความรู้สึกของคน -ผมเชื่อว่าทุกคน- ที่เคยสงสัยว่า "หากในวันนั้น เราได้กระทำในอีกสิ่งหนึ่ง (ที่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงไปแล้ว) เรื่องราวมันจะเป็นอย่างไร ชีวิตของเราจะเปลี่ยนไปจากวันนี้ไหม?"
หากย้อนเวลาได้ ทุกคนคงอยากที่จะกลับไปแก้ไขข้อผิดพลาดของชีวิต ด้วยความตั้งใจและความหวังที่ว่า มันจะทำให้ชีวิตของเรา และคนที่เรารัก ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

แต่ในระหว่างเรื่องราว...
หนังได้แสดงให้เห็นว่า ไม่มีอะไรที่จะ"ถูก"ไปเสียทั้งหมด (ดังที่เจสัน พ่อของอีแวนพูดไว้)

...
...
...

ในโลกแห่งความเป็นจริง อาจเป็นอย่างที่หลายใครว่าไว้ "ไม่มีอะไรสมบูรณ์ไปทั้งหมด - nothing is so perfect"
บางที เราอาจต้อง"เลือก"ที่จะ"แลก"บางสิ่งกับอีกบางสิ่ง
บางที เราอาจต้องสูญเสียบางสิ่ง เพื่อที่จะได้อีกบางสิ่งมา
ส่วนที่ยากที่สุด คงจะเป็นคำถามที่ว่า อะไรที่เราจะเลือกไว้ และอะไรที่เราจะยอมสูญเสียมันไป

...
...
...

ตอนจบของหนัง ทำให้ผมได้คิดว่า...
"ในหลายครั้ง หลายสิ่งหลายอย่างจะดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย ก็เมื่อเราได้ตระหนักคิดถึงความสุขของตนเองให้น้อยลง คิดถึงความสุขของคนที่เรารักให้มากขึ้น"

จากการเรียนรู้ ในที่สุด อีแวน ก็เข้าใจว่า...
เขาอาจต้องยอมเสียสละความสุขที่เขาต้องการ ความสุขที่เขาได้พยายามอยู่หลายครั้งเพื่อที่จะได้มันมา
เพื่อที่จะแลกกับการที่เขาได้รับรู้ว่า คนที่เขารัก จะมีชีวิตที่ดี มีความสุข

การเข้าใจในจุดนั้น อาจไม่ได้ยากเกินความสามารถของคนธรรมดาทั่วไป
แต่สิ่งที่น่ายกย่อง และเป็นคำถามว่าเราจะทำมันได้ไหม
คือความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ของจิตใจ ในการที่จะตัดสินใจยอมสูญเสียความสุขที่ตนเองเฝ้ารอคอยมาตลอด เพื่อที่จะแลกกับสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นกับคนที่เรารัก
ผมเชื่อว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จะทำกันได้ง่ายๆ และไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้

...เมื่อถึงวันหนึ่ง ผมอยากเข้มแข็งได้อย่าง อีแวน...

Saturday, April 15, 2006

นักเดินทาง

[เขียนเมื่อ 11 เมษายน 2549 เวลาประมาณห้าทุ่ม, ที่บาร์ริมหาดแห่งหนึ่ง ณ เกาะเต่า]

ห้าทุ่ม... ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ที่บาร์ริมหาดแห่งหนึ่ง ณ เกาะเต่า (หาดโฉลกบ้านเก่า) การมาเดินทางมาหย่อนใจครั้งนี้ ผมติดสอยห้อยตามเพื่อนสนิทสมัยมัธยมปลายคนหนึ่งมา โดยที่เธอเองก็เกาะมากับรุ่นพี่ที่ทำปริญญาเอกอยู่ด้วยกัน นอกนั้น อีกประมาณสิบชีวิตที่เหลือ เราทั้งคู่ต่างไม่เคยรู้จักมาก่อนหน้า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า เมื่อเพื่อนผมไม่อยากมานั่งที่บาร์ริมหาดและขอตัวเข้านอน ผมจึงต้องมานั่งปล่อยอารมณ์อยู่คนเดียวที่นี่

มองไปรอบๆ ดูเหมือนว่าผมจะเป็นคนไทยแท้ๆ เพียงคนเดียว ณ บาร์ริมหาดแห่งนี้ เพราะแม้แต่พนักงานบริการที่บาร์นี้ ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่คนไทยแท้ๆ (ผมเดาเอาจากการที่พวกเขาดูจะฟังและพูดภาษาอังกฤษคล่องและชัดเจนกว่าภาษาไทยที่ผมสื่อสารด้วย) นอกเหนือไปจากผมและพนักงานบริการก็เป็นชาวต่างชาติทั้งนั้น
เคยได้ยินคำพูดที่ว่า คนไทยอัธยาศัยดี ดีกว่าพวกฝรั่งตาน้ำข้าว ผมเองก็เห็นด้วยกับคำพูดดังกล่าว... แต่กับสถานการณ์ของนักท่องเที่ยวที่มาเพียงลำพัง ณ ที่ต่างถิ่น บางครั้งทฤษฎีนี้ก็อาจไม่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด บ่อยๆ ที่ผมเห็นฝรั่งที่มานั่งคนเดียวแล้วก็ทักทายผู้คนรอบข้าง ชวนพูดคุย

...กับบางคน อาจดูแปลก เพราะแน่นอน หากเลือกได้ การเดินทางไกลๆ กับเพื่อนที่รู้ใจ อย่างน้อยสักคนสองคน ย่อมเป็นทางเลือกที่น่าเลือกมากกว่า แต่บางครั้ง คนเราก็อาจมีเหตุผล ข้อจำกัด ให้ต้องเดินทางไกลๆ คนเดียว และในหลายครั้ง มันก็มีข้อดีที่ต่างออกไป เราอาจมีโอกาสได้พบเจอ พูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความคิด มุมมอง ฯลฯ กับคนแปลกหน้า ต่างชาติ ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม และเขาเหล่านั้นที่อาจเรียกได้ว่าเป็น "นักเดินทาง" อาจให้ความคิด มุมมอง อะไรดีๆ บางอย่าง ที่เขาได้จากการเดินทางอยู่เป็นนิจ กับเราบ้างก็เป็นได้

...
...
...

ในความเป็นจริง เราทุกคนอาจเป็นนักเดินทางด้วยกันทั้งนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย เราต่างก็เดินทาง, อย่างน้อยก็ในความคิด, เราต่างเดินทางเสาะแสวงหาบางสิ่งบางอย่างให้กับอีกบางสิ่งบางอย่างข้างในตัวเอง
ในระหว่างทางเดินของชีวิต เราคงได้พบเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตา กับผู้คนเหล่านั้น บางคนเพียงมองหน้ากัน บางคนเรายิ้มให้ บางคนเราได้รู้จัก บางคนเราถึงกับได้เดินทางร่วมกัน
คนเราเกิดมาเพียงลำพัง แต่อาจไม่ตายไปอย่างเดียวดาย เมื่อในระหว่างทาง เราสร้างความสัมพันธ์ขึ้นมามากมาย คงไม่มีใครอยู่คนเดียวบนโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ ผมเชื่ออย่างนั้น

ทุกๆ สิ่ง ทุกๆ คน ที่เราพบเจอในระหว่างเดินทางแห่งชีวิต จะดีจะแย่ ชอบฤว่าไม่ เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า มันได้หล่อหลอมให้เราเป็นเราอย่างที่เป็นอยู่ ...แม้แต่กับเรื่องราวร้ายๆ ในชีวิต หากจะว่าไป มันก็สอนให้เราได้เรียนรู้อะไรอะไร รวมถึงสอนให้เรารู้จักระวังตัวในคราวต่อๆ ไป เพียงเรารู้จักเลือกสรร เฟ้นหา หยิบเอาเกร็ดที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต มาใช้ มาเรียนรู้... ความเจ็บปวดทุกข์ร้อนที่ผ่านเข้ามาก็จะมีคุณค่าและความหมายกับเราอยู่เหมือนกัน ดังคำพูดของ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ว่าเอาไว้ในหนังสือ open diary

...ในความเจ็บปวด คงมีความสุข กระทั่งความงดงามบางอย่างซ่อนอยู่...