Tuesday, February 28, 2006

...นางฟ้า...

เธอถามถึงเหตุผลที่ฉันรักเธอ
...
...
...

เธอเคยแหงนหน้ามองดูดาวบนท้องฟ้าไหม?

เปล่า... ฉันไม่ได้จะเปรียบเธอเหมือนดาวบนท้องฟ้า
แต่เธอเคยสังเกตไหม ดาวแต่ละดวง มันสุกสว่าง สวยงาม อยู่ในตัวมันเอง
และเมื่อไรที่ฟ้ายามค่ำคืน "แน่น"ไปด้วยดวงดาว ...ฟ้าคืนนั้น มันคงสวยงาม และน่าจดจำอย่างที่อธิบายไม่ถูก

ฉันอยากจะเปรียบเทียบความรักของฉันแบบนั้น

ฉันมีเหตุผลมากมาย ที่จะบอกว่า ฉันรักเธอ
มันเป็นสิ่งละอันพันละน้อย ที่ฉันชอบ ในตัวเธอ
เมื่อรวมเข้าด้วยกัน มันก็อัดแน่นอยู่ในใจมากพอที่ฉันจะพูดคำว่า"รัก"ให้กับเธอ
สำหรับฉัน เธองดงาม และน่าจดจำ ...เหมือนกับฟ้ายามค่ำคืน ที่แน่นไปด้วยดวงดาว
...
...
...

ในความเป็นเพื่อน ฉันยังมีความรักให้เธอเสมอ

Thursday, February 23, 2006

ค่านิยม...ในวงเล่า

ค่ำคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ในวงเล่า ที่ร้านประจำของผมและผองเพื่อน ชื่อ"ปลาดิบ"
(อร่อย บรรยากาศดี แนะนำครับ แนะนำ ...ร้าน"ปลาดิบ"อยู่ปากซอยอารีย์สัมพันธ์ ๗ เยื้องๆ กับกระทรวงการคลัง ตรงข้ามกรมประชาสัมพันธ์)
ครั้งล่าสุดนี้ มีสมาชิกที่แปลกหน้าสำหรับผมเพิ่มมาหนึ่งคน เป็นเพื่อนของเพื่อน แต่ผมไม่เคยเจอมาก่อน
เขาทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี แต่เขาไม่ได้เป็นหมอ
ในระหว่าง การดื่มประกอบการสนทนา ...เอ หรือจะเรียกว่า การสนทนาประกอบการดื่ม เพื่อนคนนี้ก็พูดขึ้นมา...
"พวกหมอนี่เก่งนะ ผมเข้าประชุมมา รู้สึกว่า พูดเรื่องอะไรอะไร ก็ดูเหมือนจะรู้เรื่อง เข้าใจ ไปเสียทุกอย่าง "

...
...
...

ไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสได้คุยกับรุ่นน้องคนหนึ่ง ตอนนี้เธอเรียนอยู่ ม.๕ ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ช่วงหนึ่งของการสนทนา ผมถามเธอว่า คิดไว้ฤยัง ว่าอยากเรียนอะไร ... "อยากเรียนหมอค่ะ" เธอตอบ
ผมถามเธอว่า ทำไมถึงเลือกที่จะเรียนหมอ
"ก็ไม่รู้จะเลือกเรียนอะไรแล้ว" ...นี่คือคำตอบแรกที่ผมได้ฟังจากเธอ

หลังจากคุยกันอยู่เป็นเวลาพอสมควร ผมก็จับความได้ว่า
เธอเรียนสายวิทย์ เรียนมาในระดับนี้(ที่เรียกว่าดีมาก) คณะที่สมควร(ครับ เธอพูดในความหมายของ"สมควร")จะเลือกเรียน มีอยู่ไม่มากนัก อาจจะเพียง ๒-๓ คณะ
เนื่องด้วยเธอเป็นหญิงสาว การจะให้ไปเรียนวิศวกรรมศาสตร์ เธอก็คิดว่ามันคงจะไม่รุ่งนัก
เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ บัญชี ก็ดูจะเป็นคณะสำหรับนักเรียนสายศิลป์ ในสายตาเธอ หรือพูดอีกอย่างว่า อุตส่าห์เรียนสายวิทย์มาแล้ว จะให้ทิ้งไปได้ยังไง
แพทย์ เป็นอาชีพที่มีรายได้ดี และอัตราของคนที่ประสบความสำเร็จเทียบกับจำนวนคนที่เรียนก็สูง (การประสบความสำเร็จที่ว่า คือ รายได้ที่ดี และเป็นที่ยกย่องของคนในสังคมทั่วไป)
...เหล่านั้นคือเหตุผลที่ทำให้เธอคิดที่จะเลือกเรียนแพทย์ศาสตร์

ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจในความคิดของรุ่นน้องคนนี้ และผมพูดได้ว่า เป็นความคิด ความตั้งใจที่ดี
เพราะถ้าย้อนกลับไปวันที่ผมยังใส่ขาสั้น ในสายตาของผมก็มองเห็นอาชีพอยู่ไม่เท่าไร
ผมอวยพรให้รุ่นน้องคนนี้ ประสบความสำเร็จตามทางที่เธอเลือกเดิน...

...
...
...

วันนั้น ในวงเล่า ผมตั้งคำถามกับเพื่อนๆ ว่า คนที่จะเรียนหมอ จะประกอบอาชีพ นายแพทย์/แพทย์หญิง ควรเป็นอย่างไร
ผมมีคำตอบให้กับตัวเอง สำหรับคำถามนี้
อันที่จริง มันเป็นคำตอบที่มีอยู่มานานพอสมควรแล้ว

ผมมีความรู้สึกว่า ส่วนมาก ค่านิยมของคนทั่วไปคือ...
นายแพทย์/แพทย์หญิง เป็นอาชีพสำหรับคนหัวกะทิเท่านั้น
ถ้าลูกเรียนเก่ง ฉลาด พ่อแม่ผู้ปกครอง ก็มักจะคอยพูดย้ำเสมอ ให้ลูกหลานของตนเรียนหมอ ...เป็นหมอสิลูก รวยนะ

เราให้การยกย่องกับอาชีพบางอาชีพเกินไปฤเปล่า ในขณะที่เราแทบจะไม่ให้คุณค่ากับอีกหลายๆ อาชีพอย่างที่มันควรจะเป็น

เปล่า ผมไม่ได้ต่อต้าน ฤว่าตั้งแง่กับอาชีพแพทย์
กลับกัน ผมยังคงเห็นว่า นี่เป็นอาชีพที่มีเกียรติ และสมควรจะได้รับการยกย่องจากคนในสังคม ...สำหรับนายแพทย์/แพทย์หญิงที่มีจรรยาบรรณเต็มเปี่ยม
สิ่งที่ผมตั้งคำถาม อยู่ที่ "ค่านิยม"

คำตอบของผมสำหรับคำถามข้างบน...
ผู้ที่จะเลือกเรียนหมอควรจะตระหนักรู้ว่า นอกจากรายได้ที่มั่นคง และการเป็นที่เคารพยกย่องจากคนในสังคม (ซึ่งก็เป็นสิ่งอันสมควร)
ผู้ที่จะประกอบอาชีพนี้ จะต้องเสียสละอะไรหลายๆ อย่าง และความรู้สึกอยากช่วยเหลือผู้คน ก็น่าจะต้องมีอยู่ในจิตใจ
...กับผลตอบแทนที่เท่ากัน บางอาชีพอาจใช้เวลางานน้อยกว่า เวลาที่หมอต้องเสียสละให้งาน มากพอสมควร
...จากความต้องการ หรืออาจถึงขั้นขาดแคลน หมออาจต้องเสียสละความสะดวกสบาย ไปทำงานอยู่ในถิ่นที่ไม่เจริญเท่าในเมืองใหญ่

ผมได้เห็นคนที่อยากเป็นนักธุรกิจ แต่มาเรียนหมอเพราะบอกว่า นี่คือความกตัญญู เนื่องจากพ่อแม่พูดให้ได้ยินอยู่ทุกวันว่า อยากให้เป็นหมอ (ใช่ ท่านไม่ได้บังคับ แต่ท่านอาจจะลืมคิดว่า การพูดให้ได้ยินอยู่ทุกวี่วัน มันส่งผลอะไรต่อเด็กบ้าง)
ผมได้เห็นคนที่อยากเรียนวิศวฯ เลือกสอบเข้าหมอ เพราะที่บ้านอยากให้เป้น
ผมได้เห็นคนที่มุ่งมั่นอยากจะเป็นหมอ และสอบได้ตั้งแต่จบม.๔ แต่พอเรียนจบ ยังไม่ทันจะใช้ทุนครบสามปี เขาก็ลาออกมา สมัครเข้าเรียนต่อทางสายธุรกิจ ด้วยเหตุผลว่า เมื่อทำงานเหนื่อยเท่าๆ กัน รายได้ดีกว่าหมอเสียอีก (อย่างที่บอก เป็นหมอต้องทุ่มเวลาให้เยอะพอสมควร ... นี่หมายความว่า เขาคนนั้นเลือกที่จะมาเป็นหมอ เพียงเพราะความร่ำรวยใช่ไหม?)
ผมได้เห็นคนที่เป็นหมอ แต่ไม่ได้ให้ความเอาใจใส่เท่าที่ควรจะเป็นกับอาชีพหลัก(คือหมอ) แต่แบ่งเวลาไม่น้อย ให้กับอาชีพเสริมทั้งหลาย(เล่นหุ้น ทำธุรกิจ ฯลฯ)

อย่าลืมว่า สำหรับผู้ที่เรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยรัฐ เป็นการช่วยเหลือของรัฐ มีที่นั่งสำหรับผู้เรียนจำกัด
คนหนึ่งจับจองที่ไป หมายความว่า ต้องมีคนไม่ได้โอกาส
เมื่อมีคนเลิกประกอบอาชีพหมอ นั่นหมายความว่า รัฐเสียเงินทุนไปฟรีๆ หนึ่งที่ ผู้ที่อยากเป็นหมอด้วยใจจริงหนึ่งคน ที่จะหมดโอกาสไป
(อย่าบอกว่าใช้ทุนคืนเป็นเงิน เพราะยังมีความเสียหายอีกไม่น้อย ที่ตีค่าเป็นเงินไม่ได้)

...
...
...

ผมยังคงเชื่อว่า
หมอ อาจไม่ต้องเป็นคนที่หัวดี มีไหวพริบ ฉลาดเป็นกรด
แต่หมอ ควรจะต้องมีความตั้งใจจริงในการที่จะเป็นหมอ พร้อมที่จะเสียสละเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น

และผมยังคงเชื่อว่า
เราควรจะปรับเปลี่ยนค่านิยมในการประกอบอาชีพของผู้คนกันเสียที
อย่างน้อยที่สุด หากมันเป็นอาชีพสุจริตที่ทำให้คนหาเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้...
...เราก็ควรจะให้การยอมรับกับอีกหลายๆ อาชีพ อย่างที่เขาเหล่านั้นสมควรจะได้รับเสียที...

Thursday, February 16, 2006

ที่นี่หมอชิต...จุดเริ่มต้นของการเดินทาง

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ผมได้มีโอกาสดูรายการทีวี "ที่นี่หมอชิต"
ในรายการ มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่ทางรายการได้ขึ้นไปที่โรงเรียนบนดอย
ที่โรงเรียน มีเด็กอยู่จำนวนหนึ่ง ...ขอโทษ ผมจำไม่ได้ว่าเท่าไร แต่ไม่มากนัก น่าจะประมาณยี่สิบคน
โดยมีครูหนึ่งคน ที่เลือกที่จะเสียสละอะไรบางอย่างสำหรับตัวเอง เพื่อที่จะให้อะไรบางอย่างสำหรับคนอื่น

มีช่วงหนึ่งของรายการ เป็นช่วงที่เหล่าดาราที่ขึ้นไป(มีคุณสัญญา คุณเสนาลิง คุณนุ่น วรนุช คุณหนิง ปณิตา คุณเจี๊ยบ คุณเอมี่)นั่งล้อมวงทานข้าวฝึมือชาวบ้าน
เลยไปถึงช่วงเวลาก่อนนอน คุณสัญญา กับคุณเสนาลิง นั่งคุยกัน
ภาพที่ถูกนำมาเสนอ คงถูกตัดไปตามข้อจำกัดด้านเวลา
แต่ก็พอจะคิดเอาเองได้ว่า ทั้งสองคน คุยกันเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นทุรกันดารแบบนี้
การใช้ชีวิตแบบอยู่เท่าที่มี เท่าที่จำเป็น...

...แล้วความคิดผมก็เริ่มออกเดินทาง...

ภาพเด็กๆ เรียงหน้ากันยิ้มลอดช่องระแนงไม้ของโรงเรียน
ภาพบรรยากาศ สภาพแวดล้อมของพื้นที่
ภาพชาวบ้าน ภาพเหล่าทีมงานของรายการที่ช่วยกันกับชาวบ้านสร้างสิ่งของ
เหล่านั้นล้วนทำให้ผมย้อนนึกกลับไปถึงช่วงเวลาที่ผมได้มีโอกาสไปออกค่ายอาสาพัฒนาชนบททั้งในสมัยที่ยังเป็นนักศึกษาและสมัยที่พ้นสภาพนักศึกษาแล้ว
(หลังจากเรียนจบ หากโอกาสอำนวย ผมก็ยังคงติดตามเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ไปออกค่าย ตามโอกาส)
อันเป็นช่วงเวลาที่มีความรู้สึกดีๆ ซุกซ่อนอยู่ตามซอกหลืบแห่งความทรงจำเต็มไปหมด
ความรู้สึกดีๆ เหล่านั้น อาจเป็นแค่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ... แต่โบราณเขาว่า มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท ...ใช่ไหมครับ :)

บทสนทนาของคุณสัญญาและคุณเสนาลิง ทำให้ผมนึกถึงเหตุผลที่ผมชอบการไปออกค่ายอาสาฯ
มันอาจจะเป็นสิ่งละอันพันละน้อย ที่เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว กลับกลายเป็นก้อนแห่งความรู้สึกที่ทำให้ผมอยากไปค่าย
อย่างหนึ่ง ที่ผมคิดได้ว่า ทำไมผมถึงชอบไปค่าย คือเรื่องที่คุณสัญญาและคุณเสนาลิงพูดถึง ..... การใช้ชีวิตอยู่แบบเท่าที่มี เท่าที่จำเป็น

สำหรับตัวผมเอง หนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผมชอบ ทำให้ผมหาโอกาสไปออกค่ายฯ อยู่เรื่อยๆ นั่นก็เพราะผมจะได้ดึงสติตัวเองกลับมา
หลังจากที่ผมอาจจะหลงใหล ฟุ้ง ไปกับหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง กับชีวิตในเมืองใหญ่ จนหลงลืมหรือละเลยความต้องการที่แท้จริงของตัวเองไป
ช่วงเวลาที่ผมได้ไปออกค่าย ผมเหมือนได้พาตัวเองไปใช้ชีวิตอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ที่ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิต ทุกๆ อย่าง ที่แตกต่างจากสังคมเมืองที่ผมเกิดและเติบโตมาอย่างสิ้นเชิง

มันช่วยให้ผมได้เห็นว่า เขาก็อยู่กันแค่นี้ อยู่ได้อย่างมีความสุข
มันช่วยให้ผมได้ย้อนกลับมาถามตัวเองว่า ต้องการอะไรบ้างในชีวิต อะไรที่จะทำให้เรามีความสุข
มันช่วยให้ผมได้เตือนตัวเองว่า อะไรที่เราหลงไป อะไรคือความสุขเพียงผิวเผิน ฉาบฉวย อะไรที่ไม่ใช่สิ่งที่ผมแสวงหา
มันช่วยดึงผมให้กลับมามอง มาคิด ถึงการอยู่แบบ"น้อยที่สุด" เท่าที่ตัวผมจะมีความสุขได้

ผมได้แต่ภาวนาว่า การเดินทางไปออกค่ายฯ แบบนี้ จะยังอยู่กับชีวิตของผมเรื่อยๆ ไป
เนื่องว่ามันเป็นตัวช่วยในการเดินทางของชีวิตของผม ...การเดินทางเพื่อตามหาอะไรบางอย่าง
...อะไรบางอย่างที่จะทำให้ผมได้พบกับความสุขที่แท้จริง อย่างที่ผมต้องการ

ผมได้แต่ภาวนาว่า การเดินทางของชีวิตผม จะไปถึงจุดหมายแห่งชีวิต ไม่วันใดก็วันหนึ่ง