Saturday, October 28, 2006

บันทึกงี่เง่า บรรเทางุ่นง่าน [27 ตุลาคม 2549]

วันนี้ ผมไปทำงาน(เป็นพนักงานในร้านอาหาร)ตามปกติของชีวิตผมที่เมือง Falmouth นี้ (ทำงาน พุธ ศุกร์ เสาร์, หนึ่งทุ่มถึงห้าทุ่ม)
ในร้านอาหารทีี่ผมทำงานอยู่ มีคนไทยอยู่ด้วยกันทั้งหมดห้าคน นับรวมตัวผมเองด้วย

นอกจากตัวผมเอง ก็มีพี่เจ้าของร้านหนึ่ง(สามีเป็นคนอังกฤษ) พี่ๆ คู่สามีภรรยาที่ช่วยกันทำอาหาร(สามีเป็นพ่อครัว ภรรยาเป็นผู้ช่วย)อีกสอง และพี่คนไทยที่แต่งงานกับสามีชาวอังกฤษแล้วมาอยู่ที่เมืองนี้อีกหนึ่ง(ตามที่พี่เขาบอก เขามาทำงานแก้เบื่อ)
พี่เจ้าของร้านใจดี เป็นกันเอง ชวนให้ผมไปกินข้าวที่ร้านบ่อยๆ
(ความจริง เขาบอกให้ไปกินทุกวันได้เลย จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อ... แต่ผมเกรงใจ นอกจากวันที่ทำงานแล้่ว ผมก็แวะไปฝากท้องบ้างในบางครั้งคราว แต่ไม่ได้ไปทุกวันตามคำชวนของพี่เขา)
พีๆ คู่สามีภรรยา ก็ใจดี ให้ความเอ็นดูผม ทั้งสองคนดูเป็นคนซื่อๆ ทั้งคู่... ก่อนมาที่นี่ เพื่อนหลายคนเตือนผมว่า ถึงจะเป็นคนไทยด้วยกันก็อย่าไว้ใจ
ผมรับรู้และเข้าใจ... แต่จากที่รู้จักกันมาประมาณหนึ่งเดือน ผมว่าเขาทั้งคู่ไม่มีพิษภัยจริงๆ
พี่อีกคนหนึ่งทีเหลือ เป็นคนที่ผมไม่ค่อยถูกชะตาด้วยนัก จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผมรู้สึกลึกๆ ว่าเขาไม่ใช่คนจริงใจนัก และยังมีบุคลิก รวมถึงนิสัยหลายๆ อย่าง ที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไร จึงไม่ได้อยากไปข้องเกี่ยวอะไรมากนัก นอกจากเวลาไปเจอก็พูดคุยหัวเราะกันตามปกติ
และพี่คนนี้ก็เป็นที่มาของบันทึกในวันนี้

...
...
...

ที่ร้านอาหาร มีนักศึกษามาทำงานพิเศษเหมือนกันกับผมอีกหนึ่งคน เป็นชาวญี่ปุ่น ...จนถึงวันนี้ เธอเพิ่งจะเริ่มงานได้สามสัปดาห์
เธอเองยังคงทำงานไม่คล่อง และมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง แต่นั่นคงเป็นเพราะความใหม่ต่องานประการหนึ่ง
รวมถึงความจริงที่ว่าเราไม่ได้พูดจาภาษาเดียวกัน จึงทำให้ในหลายครั้งเธอก็ไม่ได้แสดงประสิทธิภาพในการทำงานอย่างที่ถูกคาดหวัง
ถึงอย่างนั้น หากตัดความจริงทั้งสองข้อนั้นออกไป เธอเองก็ดูจะเงอะงะ และขาดไหวพริบอยู่เหมือนกัน
(จนบางครั้งผมแปลกใจว่า ก็ในเมื่อเธอเคยทำงานเป็นบริกรในห้องอาหารที่รับจัดเลี้ยง - ถึงแม้จะต่างกันตรงที่ว่า ห้องอาหารที่รับจัดเลี้ยง อาหารจะถูกสั่งไว้ล่วงหน้า และทุกอย่างจะถูกเตรียมการไว้หมดแล้ว ซึ่งง่ายกว่าการทำงานในร้านอาหารตามปกติแบบนี้ - เธอน่าจะทำงานได้คล่องกว่านี้)
ผมเริ่มได้ยินพี่ที่เป็นผู้ช่วยพ่อครัวพูดถึงการที่เธออาจจะไม่ผ่านการทดลองงาน (พี่เขาก็อยากช่วย แต่ก็จนใจ เนื่องจากข้อจำกัดในเรื่องภาษาของพี่เขา)
อย่างไรก็ตาม ผมก็รู้สึกว่า เธอมีความตั้งใจในการทำงานอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ส่วนเรื่องความสามารถความเหมาะสม ก็ปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของพี่เจ้าของร้านไป

วันนี้... ขณะกำลังทำงาน ผมได้ยินพี่คนที่ผมไม่อยากข้องเกี่ยวด้วยนัก บ่นออกมาดังๆ ให้ทุกคนฟัง ถึงความผิดพลาดของนักศึกษาญี่ปุ่นคนนั้น
ได้ยินแล้วผมรู้สึกแย่... พี่คนนี้มักจะเป็นอย่างนี้เสมอ ยกหางตัวเองก็หนึ่ง เอาความผิดพลาดของคนอื่นมาตอกย้ำอีกหนึ่ง
ผมรู้สึกว่า ทุกสิ่งที่พี่เขาทำนั้น เป็นความต้องการที่จะทำให้ตนเองดูมีคุณค่า มีคุณภาพ ในสายตาของทุกๆ คนในร้าน
ทั้งๆ ที่ ผมเองกลับรู้สึกว่า ตัวพี่เขาเองนั่นแหละ ที่ไม่เหมาะจะมาทำงานบริการ ในเมื่อเขาไม่ได้มีสำนึกใน "service mind" ในระดับที่ควรจะมี(ตามความคิดของผม)

ผมเบื่อคนแบบนี้จริงๆ

...
...
...

แน่นอน ในหน้าที่การงาน ใครๆ ก็อยากก้าวหน้า อยากให้ทุกคนเห็นว่า ตนเองมีประสิทธิภาพ
เพียงแต่ วิธีการที่ผมเชื่อมั่น ก็คือ การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ต้องคิดว่าจะแข่งกับใคร นอกจากตัวเอง และตัวงาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องไม่จงใจเหยียบคนอื่น เพื่อให้ตัวเองขึ้นไปสู่ที่สูงอย่างที่ต้องการ

ความก้าวหน้าของเรา ในทางกลับกัน มันก็อาจเป็นความตีบตันสำหรับคนอื่นได้
เพียงแต่นั่นคือความจริงของระบบที่ผมคิดว่าเราต้องยอมรับ ...ยอมรับในความสามารถและอะไรหลายๆ อย่าง

มันถูกแล้วหรือ ที่เราพยายามตอกย้ำในความผิดพลาดล้มเหลวของเพื่อนร่วมงาน
เพียงเพื่อจะใช้เขาเป็นฐานให้เราเหยียบ เพื่อความก้าวหน้าของเราเอง

ผมเกลียดคนแบบนี้จริงๆ

...
...
...

มันจะดีกว่าไหม หากเราต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานในความรับผิดชอบของเราให้ดีที่สุด แสดงศักยภาพ ประสิทธิภาพของเราออกมาให้มากที่สุด
แล้วเรื่องของความก้าวหน้า ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่การตัดสินใจของผู้ที่อยู่ในสายการบัญชาที่เหนือกว่า
มันจะดีกว่าไหม หาเราต่างก็ยอมรับในหความก้าวหน้าของผู้อื่นหาเขามีประสิทธิภาพมากกว่า
และจะดียิ่งไปกว่านั้น หากเรายินดีในความสำเร็จที่เขามี
เพราะสุดท้าย ลาภ ยศ สรรเสริญ มันก็เป็นเพียงสิ่งที่ลวงตาทั้งนั้น
เราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สงบ และไม่เบีียดเบียนกัน จะดีกว่าไหม?

...make it a fair game...

No comments: