Thursday, February 16, 2006

ที่นี่หมอชิต...จุดเริ่มต้นของการเดินทาง

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ผมได้มีโอกาสดูรายการทีวี "ที่นี่หมอชิต"
ในรายการ มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่ทางรายการได้ขึ้นไปที่โรงเรียนบนดอย
ที่โรงเรียน มีเด็กอยู่จำนวนหนึ่ง ...ขอโทษ ผมจำไม่ได้ว่าเท่าไร แต่ไม่มากนัก น่าจะประมาณยี่สิบคน
โดยมีครูหนึ่งคน ที่เลือกที่จะเสียสละอะไรบางอย่างสำหรับตัวเอง เพื่อที่จะให้อะไรบางอย่างสำหรับคนอื่น

มีช่วงหนึ่งของรายการ เป็นช่วงที่เหล่าดาราที่ขึ้นไป(มีคุณสัญญา คุณเสนาลิง คุณนุ่น วรนุช คุณหนิง ปณิตา คุณเจี๊ยบ คุณเอมี่)นั่งล้อมวงทานข้าวฝึมือชาวบ้าน
เลยไปถึงช่วงเวลาก่อนนอน คุณสัญญา กับคุณเสนาลิง นั่งคุยกัน
ภาพที่ถูกนำมาเสนอ คงถูกตัดไปตามข้อจำกัดด้านเวลา
แต่ก็พอจะคิดเอาเองได้ว่า ทั้งสองคน คุยกันเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นทุรกันดารแบบนี้
การใช้ชีวิตแบบอยู่เท่าที่มี เท่าที่จำเป็น...

...แล้วความคิดผมก็เริ่มออกเดินทาง...

ภาพเด็กๆ เรียงหน้ากันยิ้มลอดช่องระแนงไม้ของโรงเรียน
ภาพบรรยากาศ สภาพแวดล้อมของพื้นที่
ภาพชาวบ้าน ภาพเหล่าทีมงานของรายการที่ช่วยกันกับชาวบ้านสร้างสิ่งของ
เหล่านั้นล้วนทำให้ผมย้อนนึกกลับไปถึงช่วงเวลาที่ผมได้มีโอกาสไปออกค่ายอาสาพัฒนาชนบททั้งในสมัยที่ยังเป็นนักศึกษาและสมัยที่พ้นสภาพนักศึกษาแล้ว
(หลังจากเรียนจบ หากโอกาสอำนวย ผมก็ยังคงติดตามเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ไปออกค่าย ตามโอกาส)
อันเป็นช่วงเวลาที่มีความรู้สึกดีๆ ซุกซ่อนอยู่ตามซอกหลืบแห่งความทรงจำเต็มไปหมด
ความรู้สึกดีๆ เหล่านั้น อาจเป็นแค่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ... แต่โบราณเขาว่า มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท ...ใช่ไหมครับ :)

บทสนทนาของคุณสัญญาและคุณเสนาลิง ทำให้ผมนึกถึงเหตุผลที่ผมชอบการไปออกค่ายอาสาฯ
มันอาจจะเป็นสิ่งละอันพันละน้อย ที่เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว กลับกลายเป็นก้อนแห่งความรู้สึกที่ทำให้ผมอยากไปค่าย
อย่างหนึ่ง ที่ผมคิดได้ว่า ทำไมผมถึงชอบไปค่าย คือเรื่องที่คุณสัญญาและคุณเสนาลิงพูดถึง ..... การใช้ชีวิตอยู่แบบเท่าที่มี เท่าที่จำเป็น

สำหรับตัวผมเอง หนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผมชอบ ทำให้ผมหาโอกาสไปออกค่ายฯ อยู่เรื่อยๆ นั่นก็เพราะผมจะได้ดึงสติตัวเองกลับมา
หลังจากที่ผมอาจจะหลงใหล ฟุ้ง ไปกับหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง กับชีวิตในเมืองใหญ่ จนหลงลืมหรือละเลยความต้องการที่แท้จริงของตัวเองไป
ช่วงเวลาที่ผมได้ไปออกค่าย ผมเหมือนได้พาตัวเองไปใช้ชีวิตอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ที่ความเป็นอยู่ การดำเนินชีวิต ทุกๆ อย่าง ที่แตกต่างจากสังคมเมืองที่ผมเกิดและเติบโตมาอย่างสิ้นเชิง

มันช่วยให้ผมได้เห็นว่า เขาก็อยู่กันแค่นี้ อยู่ได้อย่างมีความสุข
มันช่วยให้ผมได้ย้อนกลับมาถามตัวเองว่า ต้องการอะไรบ้างในชีวิต อะไรที่จะทำให้เรามีความสุข
มันช่วยให้ผมได้เตือนตัวเองว่า อะไรที่เราหลงไป อะไรคือความสุขเพียงผิวเผิน ฉาบฉวย อะไรที่ไม่ใช่สิ่งที่ผมแสวงหา
มันช่วยดึงผมให้กลับมามอง มาคิด ถึงการอยู่แบบ"น้อยที่สุด" เท่าที่ตัวผมจะมีความสุขได้

ผมได้แต่ภาวนาว่า การเดินทางไปออกค่ายฯ แบบนี้ จะยังอยู่กับชีวิตของผมเรื่อยๆ ไป
เนื่องว่ามันเป็นตัวช่วยในการเดินทางของชีวิตของผม ...การเดินทางเพื่อตามหาอะไรบางอย่าง
...อะไรบางอย่างที่จะทำให้ผมได้พบกับความสุขที่แท้จริง อย่างที่ผมต้องการ

ผมได้แต่ภาวนาว่า การเดินทางของชีวิตผม จะไปถึงจุดหมายแห่งชีวิต ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

2 comments:

Anonymous said...

กูเป็นเด็กกิจกรรม ที่ไม่เคยไปค่ายเลยว่ะ

ทำกิจกรรมทุกอย่าง สโมคณะ อบจ. งานบอล บ.จำลอง ทำเท่าที่ค่าเทอม 8500 จะให้ทำ

กูเลยไม่อินกับกิจกรรมนี้เท่าไรว่ะ

แต่ชอบอย่างนึงที่มึงเขียน
เรื่องว่า ความพอเพียง
อันนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนในสังคมปัจจุบันอย่างมาก

คนเมืองอย่างเราๆหลายๆครั้งเราชอบที่จะทำอะไร
เกินพอ เกินพอ ไม่ใช่ไม่ดีในทุกกรณี
แต่โดยรวมแล้ว พอเกินพอ มันก็จะอยาก
พออยากมากไป นั่นแล ที่เป็นสิ่งเริ่มของความไม่ดี

พอเพียง... เห็นด้วย

Anonymous said...

พอใจ ที่จะ พอเพียง ก็ เพียงพอ :)
(เท่ห์มากๆ แป๋ม เท่ห์มากๆ)


ไปบวชๆ พอเพียงจริงๆ พี่
(แต่พระเดี๋ยวนี้ มีทีวี สเตอริโอ ดีวีดี มือถือ... แล้วนี่ตกลงเค้าบวชกันเพื่อ? ==')
เราว่าความสุขมันคงคล้ายๆสสารหน่ะ ก้อนเล็กมากๆ อยู่ใกล้มากๆ แต่เราก็ทำเบลอใส่มันประจำ จะป๊ะกะมันได้ คงต้องป๊ะกับตัวตนที่แท้จริงของตัวเองก่อน หลังจากนั้น หนูความสุขก็จะพองโตๆ

เอ้า จริงจี๊งงงงงง ! :D